HeaderAd

Tuesday, December 16, 2014

เปลี่ยนวิธีการหายใจ แล้ววิ่งดีขึ้น


วันนี้ผมจะมารายงานผลการทดสอบการวิ่ง หลังจากที่ผมลองฝึกวิธีการหายใจซึ่งได้เล่าให้ฟังไปแล้วไปในคราวที่แล้ว ตอนนี้ลองหายใจแบบใหม่ไปได้แค่ 2 อาทิตย์น่ะ เอาล่ะมาดูกันเลยว่าผลจะเป็นอย่างไร

เปลี่ยนวิธีการหายใจ แล้ววิ่งดีขึ้น
ตอนนี้ผมวิ่งโดยพยายามให้สนใจที่วิธีการหายใจ โดยจะหายใจโดยใช้ท้อง เพื่อที่จะให้ "หายใจได้ยาวขึ้น และหายใจได้ลึกขึ้น" สิ่งที่รู้สึกในตอนแรกเลยคือ รู้สึกว่าวิ่งช้าลง แต่ว่าพอผมไปดูเวลาจริงๆก็พบว่าใช้เวลาเท่าเดิมน่ะ แต่รู้สึกว่าไม่เหนื่อยเท่าเดิมแล้ว ซึ่งอาจจะเป็นเพราะผมรู้สึกว่าไม่เหนื่อยก็เลย คิดว่าวิ่งช้า หลังจากผ่านไป 1 อาทิตย์ก็ลองเร่งความเร็วดู โดยพยายามหายใจโดยใช้ท้องเป็นหลักเหมือนเดิม ผลก็คือ วิ่งเท่าเดิมแต่ใช้เวลาเร็วขึ้น และเหนื่อยน้อยกว่าก่อนฝึกหายใจนิดหน่อยครับ

สิ่งที่เจอระหว่างฝึก
เวลาที่ผมวิ่งแล้วพยายามพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การหายใจ บางครั้งจะลืมยกขาให้สูงขึ้น เวลาที่วิ่งเจอกับพื้นไม่เรียบ ทำให้วิ่งแล้วสะดุดครับ!!! อันนี้เลยฝากมาเตือนกันสำหรับคนที่วิ่งแล้วทางวิ่งไม่ค่อยเรียบครับ

สรุป
วิธีการหายใจโดยใช้ท้องมีผลต่อการวิ่งของผมจริงๆ ซึ่งทำให้อึดมากขึ้นครับ ถ้าเพื่อนๆคนไหนมีวิธีการอะไรดีๆก็มาแนะนำกันได้น่ะครับ ขอบคุณครับ

ขั้นต่อไป อิอิ เป้าหมายมีไว้พุ่งชม  step ต่อไปของผมคือ พยายามก้าวขาให้กว้างขึ้น เพราะตอนนี้แต่ละก้าวยังไม่กว้างนัก เดี๋ยวลองแล้วได้ผลเป็นอย่างไรจะมา update ให้ฟังครับ
Continue Reading...

Wednesday, December 3, 2014

ตอนวิ่งต้องหายใจทางปากหรือ ทางจมูกดีกว่ากัน?


พอวิ่งบ่อยๆเข้าจนเป็นเรื่องในชีวิตประจำวันเสมือนการอาบน้ำ แปรงฟัน แล้วถ้าวันไหนไม่ได้ทำ ก็จะรู้สึกหงุดหงิด ฮ่าๆๆๆ แล้วอยู่ๆก็นึกถึงเรื่องที่ลืมคิดไป นั่นก็คือ "การหายใจ" เพราะตอนที่วิ่งจะมีทั้งหายใจด้วยปากและด้วยจมูก ก็เลยอยากรู้เหมือนกันว่า เราควรหายใจด้วยปากหรือจมูกจะดีกว่ากัน วันนี้เลยไปนั่งอ่านข้อมูลแล้วเอามาแชร์กัน

วิ่งแล้วควรหายใจ ทางจมูกหรือทางปากดี
จากที่ไปค้นคว้ามา ถ้าเป็นนักวิ่งเก่าๆบางคน จะมีความเชื่อและสอนกันเลยว่า ควรบังคับให้หายใจทางจมูกอย่างเดียว อันนี้ผมไม่ทราบเหตุผลของเขาน่ะ แต่เรามาดูปัจจุบันกันดีกว่า

หายใจทางจมูก แตกต่างจากหายใจทางปากอย่างไร
จริงๆทางการแพทย์จะหายใจด้วยปากหรือจมูก ปอดก็ได้อากาศเหมือนกันครับ เพราะท่อนำอากาศไปที่ปอดก็เชื่อมกันระหว่างหลังโพร่งจมูกกับด้านหลังของปาก แต่การหายใจจากจมูกจะมีข้อดีกว่าสองข้อ คือ มีขนจมูกช่วยกรองฝุ่นละอองต่างๆ และ เส้นเลือดฝอยในจมูกจะช่วยปรับอุณหภูมิ ซึ่งตอนที่เราวิ่งนั้น ไม่จำเป็นต้องไปปรับอุณหภูมิให้อุ่นขึ้นก็ได้ เพราะร่างกายเราร้อนอยู่แล้ว แต่ฝุ่นละอองถ้ากรองได้จะดีมากกว่าครับ

สิ่งที่ต้องสนใจสิ่งแรก ไม่ใช่หายใจทางจมูก หรือหายใจทางปาก
ตอนนี้เท่าที่อ่านหลายๆเวป ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ จะให้ focus หรือพุ่งความสนใจไปที่ "วิธีการหายใจ" เป็นสิ่งแรก ซึ่งเราต้องหายใจให้ถูกวิธี นั่นคือ หายใจด้วยท้อง หรือ กระบังลมที่ท้อง โดยเราจะสามารถสังเกตุบริเวณท้อง ถ้าหายใจเข้า หน้าท้องต้องโป่ง และถ้าหายใจออก หน้าท้องจะต้องยุบ

ต่อจากนั้น ให้พยายาม"หายใจให้ยาว" คือ แทนที่เราจะหายใจเข้า-ออกเร็วๆ เราจะเหนื่อยเร็วกว่า การที่จะหายใจเข้า-ออก ช้าๆ แต่ยาวกว่าครับ อันนี้ผมกำลังฝึกอยู่เหมือนกัน เพราะวิ่งไปแปปเดียวก็จะลืม! แล้วก็กลับไปหายใจเหมือนเดิม ฮ่าๆๆๆๆ

แต่เราก็ยังต้องสนใจหายใจทางจมูก และทางปากด้วย
การหายใจทางปากเป็นกลไกตามธรรมชาติที่ร่างกายกำลังบอกเราว่า "ขออากาศ!!! PLEASE" ตอนที่เราเริ่มวิ่งก็ควรหายใจทางจมูก เพราะอย่างน้อยก็ช่วยกรองฝุ่น แล้วพอวิ่งไประยะหนึ่งแล้วรู้สึกว่า ต้องเริ่มหายใจทางปาก แสดงว่า "ร่างกายได้รับอากาศไม่พอ" เลยต้องการอากาศเพิ่ม สำหรับตัวผมเองน่ะ มันแปลง่ายๆว่า "เราอาจจะลืมตัว ไม่ได้หายใจด้วยท้องเลยได้อากาศไม่พอ" หรือ "ไม่ได้หายใจลึก หรือหายใจให้ยาว" หรือ "เหนื่อยแล้วจริงๆ" เท่าที่ลองมาด้วยตัวเอง ก็จะมี 3 กรณีที่ต้องหายใจด้วยปากครับ

สรุป
หายใจด้วยท้อง - สิ่งแรกที่เราต้องสนใจเลย คือ วิธีการหายใจนั่นเอง คือ หายใจด้วยท้อง เพราะการหายใจด้วยท้อง เราจะสามารถฝึกต่อให้ "หายใจให้ยาว หรือหายใจให้ลึกขึ้น"
สังเกตุเมื่อหายใจด้วยปาก - ถ้าเราเริ่มใช้ปากหายใจ ให้สังเกตุว่าเราเหนื่อยจริงๆ หรือว่าเราเองที่ลืมตัวแล้วหายใจผิดวิธีเลยทำให้ร่างกายเราได้รับอากาศไม่พอ

Updated: รายงานผลการวิ่งหลังจากที่เปลี่ยนวิธีการหายใจครับ และถ้าเพื่อนคนไหนมีเทคนิคอะไรดีๆ มาแนะนำและแชร์กันเลยครับ
Continue Reading...

Monday, December 1, 2014

เมื่ออยากวิ่งให้สนุก จนเผลอไปเกรียนใส่คนอื่น?!?!


พอการวิ่งเริ่มกลายเป็นส่วนนึงในชีวิตประจำวัน เฉกเช่น การอาบน้ำ แปรงฟันหลังตื่นนอน ทำให้ตัวผมเองก็อยากสนุกกับการวิ่งทุกครั้งถ้าสามารถทำได้ จนบางทีก็เล่นสนุกโดยการไปวิ่งตามไปนักวิ่งคนอื่น ทั้งๆที่ไม่รู้จักกัน?!?! และจากประสบเกรียนของผม สามารถบอกได้เลยว่า การทำแบบนี้(วิ่งตามคนอื่น) มันก็มีทั้งนักวิ่งที่ชอบและนักวิ่งที่ชอบมากๆครับ เลยจะมาเล่าให้ฟังกัน อิอิ

ทำไมเราต้องวิ่งตามคนอื่น
ขอออกตัวก่อนน่ะ การไปวิ่งตามชาวบ้านบ่อยๆน่ะ ไม่ดี เข้าใจตรงกันน่ะ แต่ที่ทำหรือเกรียนเป็นบางครั้ง เพราะผมอยากวิ่งให้สนุกๆบ้าง เหตุผลก็คือ ถ้าเราไปวิ่งคนเดียว เราอาจจะตั้งเป้าหมายว่า วันนี้จะวิ่ง 10 km น่ะ แต่ถ้าเราไปวิ่งตามคนอื่นแล้วเราไม่รู้เลยยยยยย ว่าท่านพี่จะวิ่งไปนานแค่ไหน ไกลเท่าไร ผมว่ามันเป็นวิ่งที่วัดใจมากกกกกกก ฮ่าๆๆๆๆ อารมณ์คงจะคล้ายๆกับเราไปวิ่งในฟิตเนส ตอนที่เราวิ่งคนเดียวเราก็วิ่งเท่าที่ตั้งใจแล้วก็หยุด แต่พอมีคนมาวิ่งข้างๆ หลายๆครั้งเราจะกลัวเสียฟอร์ม เราเริ่มหลังเขา ทำไมเราถึงหยุดวิ่งก่อนล่ะ ถ้าใครเข้าไปวิ่งไปฟิตเน็ต คงจะเข้าใจความรู้สึกนี้เป็นอย่างดี ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

คำเตือน ก่อนที่คุณจะไปวิ่งตามชาวบ้าน
ทางที่คุณไปวิ่ง -  เส้นทางที่คุณไปวิ่งน่ะ มันมีลักษณะเป็นลู่วิ่งที่เราต้องวิ่งทางนี้อยู่แล้ว เช่น ทางในสวนลุมฯ หรือว่าเราไปวิ่งในหมู่บ้าน ถ้าคุณไปวิ่งตามคนอื่นในหมู่บ้าน อันนี้ผมไม่เห็นด้วย และไม่แนะนำถ้าคุณไม่รู้จักเขาน่ะครับ เพราะมันดูอันตรายไป ลองนึกดูว่า อยู่ๆมีใครก็ไม่รู้มาวิ่งตามเราในหมู่บ้าน ฮ่าๆๆๆๆๆ แต่ถ้าเป็นทางวิ่งที่สวนลุมฯ หรือที่สวนหลวง ทางมันค่อนข้างบังคับระดับนึงเลยว่าต้องไปทางนี้ มันไม่ค่อยมีทางแยก อันนี้ผมว่ายังพอรับได้น่ะ

ทิ้งระยะให้ห่างๆก็ได้ - ที่ผมบอกว่าไปวิ่งตาม ไม่ใช่ไปวิ่งประกบติด แบบในหนังขับรถประกบ ประเภทกันชนเกือบจะจูบกันอยู่แล้ว เวลาไปกำหนดว่า วันนี้ผมอยากจะวิ่งให้ได้เท่าพี่เขา ผมจะตามในระยะสายตา คือ ห่างกันเยอะเลยน่ะ อาจจะมีเราเร่งให้ใกล้เข้าไปอีกบ้าง หรือผ่อนบ้าง เอาเป็นว่าถ้าเป็นคุณเอง คุณจะสบายไหมถ้ามีคนมาวิ่งตามใกล้ๆ ดังนั้นเราอยู่แค่พอมองเห็นเขาก็พอครับ จะห่าง 500 เมตรเลยก็ยังได้

ขอให้คุณสนุกกับการเกรียน...เอ๊ย การวิ่งน่ะครับ แล้วบางทีคุณอาจจะแปลกใจว่า จริงๆแล้วเราเองก็วิ่งได้เยอะเหมือนกันน่ะ เพียงแต่เราไปหยุดก่อนเองก็แค่นั้น

ปล. ถ้าผมเคยไปวิ่งตามใครแล้วไม่ชอบ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ (^人^)
Continue Reading...

Wednesday, November 26, 2014

ลงแข่งขันก็เพื่อชัยชนะ แต่ถ้าคุณถูกห้ามแข่ง เพราะเขากลัวคุณชนะล่ะ?!?!


ปกติเราลงแข่งขันวิ่งก็เพื่อเอาชนะ ไม่ว่าจะเป็นเอาชนะตัวเอง หรือเอาชนะคู่แข่งเพื่อได้ขึ้นชื่อว่าเป็นที่หนึ่ง ซึ่งการเอาชนะแบบหลังนั้น ต้องมีการเตรียมพร้อมและฝึกซ้อม ที่หนักกว่ามากๆ และถ้าคุณซ้อมมาทั้งปีหรือหลายๆปี แล้วมีคนมาบอกคุณว่า "เธอช่วยไม่ลงแข่งได้ไหม? เพราะถ้าเธอลงเดี๋ยวเพื่อนจะไม่ชนะ!!!"

สิ่งที่ผมจะเล่าต่อไปนี้คือเรื่องจริงที่ยิ่งว่านิยายที่นำมาฉายเป็นละครหลังข่าว มันเป็นเรื่องราวของชายผู้มีต้นทุนชีวิตที่ต่ำ แต่หากมีศรัทธาชีวิตที่สูง และผมหวังเรื่องราวของเขาจะทำให้คุณมีแรงใจในการลุกขึ้นวิ่งไปสู่ความฝัน


"ไล่ตงจิ้น" ชายผู้เคยถูกขอไม่ให้เข้าแข่ง เพราะเดี๋ยวจะชนะอีก
ก่อนที่จะไปฟังเหตุการณ์ที่ไล่ตงจิ้นไม่ได้เข้าแข่งวิ่ง เราลองมาดูประวัติชีวิตของเขาสั้นๆกันก่อน ไล่ตงจิ้นเกิดมาในครอบครัวที่.................ที่ผมก็ไม่รู้จะว่าหาคำอะไรมาบรรยาย เพราะครอบครัวของเขามีสมาชิกทั้งหมด 14 คน เขามีพี่น้องทั้งหมด 12 คน ครบโหลพอดี ซึ่งมีพี่ชายคนโตและคุณแม่ปัญญาอ่อน และเหมือนสวรรค์ต้องการทดสอบความอดทนของยอดมนุษย์คนหนึ่ง คุณพ่อของไล่ตงจิ้นก็เป็นขอทานพเนจร ที่ตาบอด!!! ทำให้เขาต้องเป็นเสาหลักของบ้านด้วย

ที่กล่าวข้างต้น คือสถาพครอบครัวของไล่ตงจิ้นในตอนที่เกิด แต่เขาไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา พยายามทำทุกอย่าง เพื่อทำให้ชีวิตก้าวหน้า...เช่น หัดเขียนหนังสือบนแผ่นดินด้วยกิ่งไม้ เพราะไม่รู้จะไปหากระดาษกับดินสอจากไหน หัดเขียนจนชนะเลิศการคัดลายมือ สุดยอดมากๆ และแน่นอนครับ เมื่อเขาได้มีโอกาสที่จะลงแข่งขันวิ่ง เขาก็ซ้อม ซ้อม แล้วก็ซ้อมจนสามารถชนะการแข่งขันวิ่งได้ และหลังจากที่ชนะบ่อยๆ ก็เลยเกิดเหตุการณ์ตามที่กล่าวไปในตอนต้น คือ คุณครูขอไม่ให้ขอแข่งขัน เพราะถ้าไล่ตงจิ้นเข้าแข่ง เพื่อนๆจะไม่ชนะ เหอะๆ จริงๆ เรื่องราวก่อนที่ไล่ตงจิ้นจะเข้าเรียนได้เนี่ย ต้องต่อสู้มามากมายเลยครับ ถ้าเขียนแล้วบทความจะรันทดมาก ถ้าเป็นหนังก็ dark สุดๆ แต่คุณจะกำลังใจแน่นอน ดังนั้นผมขอแนะนำให้คุณไปหาหนังสือไล่ตงจิ้นมาอ่านเอง เพื่อรายละเอียดและอรรถรสที่ครบถ้วน พร้อมๆกับเสียน้ำตา หลังจากอ่าน เราไปวิ่ง วิ่ง วิ่ง แล้วก็วิ่งกันเถอะครับ

ปล. หนังสือเล่มนี้ผมเคยเขียนแนะนำไว้นานมากแล้วที่นี้ครับ [หนังสือแนะนำ ไล่ตงจิ้น]
Continue Reading...

Monday, November 24, 2014

อยากวิ่งให้ไกลขึ้นไหม? ก็ตั้งเป้าหมายให้ไกลขึ้นซิ



วันนี้คุณอาจจะออกไปวิ่งเพื่อสุขภาพ แต่เมื่อวานคุณอาจจะวิ่งเพื่อคลายเครียด หรือเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาคุณไปวิ่งเพื่อลดน้ำหนักเพราะเพิ่งไปจัดหนักมาในวันศุกร์และเสาร์ ฮ่าๆๆๆๆๆ ไม่ว่าคุณจะออกไปวิ่งด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม คุณอยากจะวิ่งให้ไกลขึ้นไหม หรืออยากวิ่งให้ได้ระยะทางมากกว่าเดิมไหม? พอดีว่าผมเองน่ะ อยากมากครับ ด้วยเหตุผลง่ายๆเพราะ รู้สึกและมโนนิดหน่อยว่า วิ่งแล้วหน้าท้องหาย รู้สึกว่าหุ่นดีขึ้น!?!? ฮ่าๆๆๆๆๆ ผมก็เลยไปถามพี่ๆที่เขาวิ่งเยอะๆ พี่เขาซ้อมวิ่งละ 20 km เป็นอย่างน้อย สำหรับผมแล้วยังไม่ถึงครึ่งของพี่เขาเลยครับ ผมถามพี่เขาด้วยคำถามง่ายๆว่า

หลักข้อเดียวที่จะทำให้วิ่งได้ไกลขึ้น คืออะไร
และนี้คือคำตอบที่สั้นมาก "ก็ตั้งเป้าหมายให้ไกลขึ้นซิว่ะ(ครับ)!!!"  อืม...ฟังเสร็จก็ติด stun ครับ ง่ายๆแค่นั้นเลยเหรอ ก็เลยของคำตอบเวอร์ชั่นยาวๆหน่อย อิอิ จริงๆเรื่องการตั้งเป้าหมายเนี่ย มันเป็นสิ่งสำคัญมาก สำหรับองค์กรหรือบริษัทครับ คุณเองสังเกตุดูซิ ผู้บริหารเขาจะออกมาตั้งเป้าหมายในแต่ละปี หรือในแต่ละเดือน ซึ่งเป้าหมายที่พวกผู้ใหญ่หรือผู้บริหารตั้งมานั้น สูงอยู่แล้ว และหลายๆครั้งคนส่วนมากคิดว่าสูงไป! แต่ผลลัพธ์หลายครั้ง กลับทำให้ประหลาดใจกว่า คือ "เราไปถึงเป้าหมายครับ"

ฝรั่งจะมีสำนวณเลยว่า "You Get What You Measure" คุณวัดผลอะไร คุณก็จะได้สิ่งนั้น ในการเรื่องของวิ่งก็เหมือนกัน ถ้าคุณตั้งเป้าไปเลยว่า "วันนี้จะไปวิ่งให้ 10 km!!!" คุณมีแนวโน้มว่าจะไปวิ่งได้มากกว่าการตั้งเป้าหมายว่า "วันนี้จะวิ่งจนเหนื่อย" แล้วไอ้การตั้งเป้าหมายแบบที่สองมันจะวิ่งไปได้ไกลจริงๆเหรอ? เพราะการวิ่งน่ะมันเหนื่อยอยู่แล้ว แต่คุณจะหยุดหรือเปล่าก็แค่นั้นเอง ดังนั้นถ้าคุณอยากลดน้ำหนัก หรืออยากวิ่งให้ได้ระยะทางไกลขึ้น วันนี้เราลองมาตั้งเป้าหมายให้สูงๆกัน

ไป...ออกไปวิ่งกันเลย สู้ สู้!!!
Continue Reading...

Friday, November 21, 2014

ดร.แกรี่ กรีนเบิร์ก (Dr. Gary Greenberg): เรียนรู้โลกจากเม็ดทราย

"เมื่อเรากำลังเดินบนพื้นทรายนั้น จริงๆแล้วเรากำลังเดินอยู่บนประวัติศาสตร์
เป็นล้านๆปีของชีววิทยาและธรณีวิทยา"
แกรี่ กรีนเบิร์ก


เม็ดทรายจากเกาะเมาวี (MAUI)
เวลาที่ผมนั่งดู TED Talk แล้วรู้สึกประทับใจ โดยส่วนมากจะมาจากนักพูดที่พูดให้กำลังใจและแรงบันดาลใจอยู่แล้ว แต่ว่าคราวนี้ผมกลับประทับใจกับคุณแกรี่ กรีนเบิร์ก (Gary Greenberg) ซึ่งทำงานเกี่ยวกับ photographer, biomedical (ช่างภาพและชีวการแพทย์)!?!? สิ่งที่คุณแกรี่ กรีนเบิร์กเล่าให้พวกเราฟังคือ การมองโลกจากมุมมองใหม่ๆ และในทีนี้คือ มุมมองในระดับไมโครเมตร (1 มิลลิเมตร เท่ากับ 1,000 ไมโครเมตร นะครับ) สิ่งที่น่าประหลาดใจมากคือ เขาเล่าให้พวกเราฟังเกี่ยวกับเม็ดทราย และไม่น่าเชื่อว่าเม็ดทรายตามชายหาดนี้ล่ะ จะมีความน่าสนใจมากกกกกถึงขนาดนี้

ลักษณะชีววิทยาและธรณีวิทยารอบเกาะเมาวี (MAUI)
โดยภาพแรกที่คุณได้เห็นเป็นสิ่งต่างๆที่อยู่ทรายที่มาจากเกาะเมาวี (MAUI) และเหตุผลที่เม็ดทรายมีลักษณะแบบนี้ก็เพราะว่าสภาพแวดล้อมของเกาะเมาวีมีประการังและสิ่งมีชีวิตต่างๆ พอพวกมันตายซากกระดูก ฟัน และสิ่งต่างๆก็จะมารวมอยู่ในทราย และทรายในแต่ละที่ทั่วโลกจะมีลักษณะแตกต่างกันไป ซึ่งจริงๆแล้วเวลาที่เราเดินอยู่บนพื้นทรายน่ะ เรากำลังเดินอยู่บนบันทึกทางชีววิทยาและธรณีวิทยาที่มีมาเป็นล้านๆปี 

เม็ดทรายจากดวงจันทร์

และที่ทำให้คุณได้รู้สิ่งใหม่ๆ รวมทั้งประทับใจยังไม่หมดแค่นี้ เพราะดร. แกรี่ กรีนเบิร์ก เคยดูและถ่ายรูปเม็ดฝุ่นจากดวงจันทร์!!! ซึ่งแน่นอน ไม่มีเม็ดทรายบนโลกที่หาดไหนจะมีลักษณะแบบนี้ไปได้ ถ้าเราลองดูลักษณะเม็ดทรายจากดวงจันทร์ คุณจะเห็นว่ามันมีวงแหวนอยู่ด้วย เนื่องจากดวงจันทร์ไม่มีชั้นบรรยากาศ ทำให้อุกกาบาตเล็กๆชนดวงจันท์บ่อยๆ แล้วเวลาที่ชนเนี่ยฝุ่นหรือเม็ดทรายก็จะระเหิดกลายเป็นไอทันที แล้วจะมีการเกาะตัวทำให้เกิดเม็ดทรายในลักษณะนี้ ส่วนจะมีอะไรมากกว่าไปติดตามชมใน TED Talk กันต่อได้เลย

แกรี่ กรีนเบิร์ก (Dr. Gary Greenberg)





และสำหรับคนที่ต้องการดู Subtitle ภาษาไทยด้วยเชิญที่นี้ครับ แกรี่ กรีนเบิร์ก: มองโลกพิศวงระดับนาโน
ขอบคุณรูปภาพและ video ดีๆจาก www.ted.com
Continue Reading...

Wednesday, November 19, 2014

ทำไมต้องอ่านหนังสือดีๆ ให้กำลังใจเป็นประจำ?!?!


คุณเคยไหมครับ เวลาไปเดินเลือกซื้อหนังสือดีๆ ประเภทพัฒนาตัวเองหรือให้กำลังใจ แล้วอยู่ๆเพื่อนข้างๆก็พูดขึ้นมาว่า "จะซื้อไปอ่านทำไมตั้งเยอะ หนังสือพวกนี้มันก็เหมือนๆกันล่ะ เนื้อหาจริงๆเหมือนกันหมด ซื้อไปอ่านมีแต่คนขายจะรวยขึ้น" โอ้โห...ฟังเสร็จ ผมนี้นิ่งเลย...แล้วก็เดินไปจ่ายตังค์ ฮ่าๆๆๆๆๆ

ถ้าจะให้อธิบายง่ายที่สุด สั้นที่สุดว่าทำไมเราควรอ่านหนังสือดีๆ ให้กำลังใจเป็นประจำ ผมขอยกคำพูดนี้เลยครับ

ผู้คนชอบพูดว่าแรงจูงใจอยู่แค่แปปเดียวก็หาย
การอาบน้ำก็เหมือนกัน เราจึงอาบน้ำทุกวัน
Zig Ziglar

ผมว่าประโยคนี้เป็นอะไรที่โดนมาก เพราะว่าเราต้องอาบน้ำทุกวัน วันนึงอย่างน้อยก็ 2 ครั้งกันเข้าไปแล้ว เพื่อตัวเราเองรู้สึกสดชื่น แต่การอ่านหนังสือดีๆเนี่ยกลับน้อยกว่ามาก เลยกลายเป็นว่าทุกวันเราเจอสิ่งต่างๆที่อาจจะทำให้จิตใจเราอ่อนล้า แต่เรากลับไม่ค่อยได้เติมสิ่งดีๆกลับเข้าไปในจิตใจกันเลย และกว่าเราจะรู้สึกตัวกันอีกทีก็ตอนที่หมดแรงใจกันแล้ว


หนังสือเป็นเพื่อนที่เงียบและมั่นคงมากที่สุด 
เป็นที่ปรึกษาที่เข้าถึงได้ง่ายและรอบรู้ที่สุด
และเป็นครูที่อดทนที่สุด
Charles William Eliot - อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด 

เอาล่ะ...วันนี้เราไปอ่านหนังสือดีๆกันครับ ถ้านึกไม่ออกว่าจะอ่านหนังสือเล่มไหนก่อนดี ลองไป หนังสือแนะนำที่นี้ก่อนก็ได้นะครับ
ขอบคุณรูปภาพเด็กๆนั่งอ่านหนังสือจาก Valerie Everett
Continue Reading...

Followers

Tags