HeaderAd

Monday, June 30, 2014

หนังสือแนะนำ: บุรุษผู้นับเวลา (Recommended Book: The Time Keeper by Mitch Albom)

"จงจำไว้เสมอ: มีเหตุผลที่พระเจ้าจำกัดเวลาของมนุษย์" 
-The Time Keeper



ผมซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่านเพราะว่า ชอบหนังสือเรื่อง Tuesday with morrie ของ Mitch Albom ซึ่งเป็นหนังสือในดวงใจของใครหลายๆคนไปแล้ว หนังสือเรื่อง บุรุษผู้นับเวลา ก็เป็นผลงานของผู้เขียนคนเดียวกัน



สำหรับหนังสือเรื่องนี้ มีการเล่าเรื่องแบบนิยาย โดยมีโครงเรื่องที่แปลกน่าติดตาม แต่สำหรับผมว่า ช่วงแรกๆของหนังสือเล่มนี้ ค่อนข้างน่าเบื่อไปนิดนึง เรื่องราวคร่าวๆมีอยู่ว่า มนุษย์คนนึงในสมัยก่อนที่นานมาแล้วมากๆ และเป็นมนุษย์คนแรกได้พยายามที่่จะนับเวลา เขาได้ประดิษฐ์เครื่องมือต่างๆ เพื่อที่จะนับเวลาให้ได้ สุดท้ายชายผู้ซึ่งเป็นมนุษย์คนแรกที่พยายามนับเวลาก็ได้รับการลงโทษจากพระเจ้า ให้อยู่คนเดียวเพื่อฟังของผู้คนต่างๆที่ร้องขอเวลา ให้อยู่คนเดียวจนกว่า นรกกับสวรรค์จะมาบรรจงกัน...คิดดูว่านานแค่ไหน

จนกระทั่งวันนึง ชายผู้คนนี้ก็ได้รับความสามารถประหนึ่ง X-Men ให้สามารถควบคุณเวลาได้!!! แต่เพื่อเป็นการไถ่โทษ บุรุษผู้นับเวลาคนนี้ต้องสอนมนุษย์ให้รู้จักความหมายที่แท้จริงของเวลา โดยคนนึงคือ คนที่ขอร้องเวลามากเกินไป ส่วนอีกคนที่ไม่เห็นคุณค่าของเวลา (หรือต้องการเวลาน้อยเกินไป)

สำหรับผมแล้ว หนังสือเล่มหลังจากที่บุรุษผู้นับเวลา ได้รับความสามารถแล้ว สนุกมากๆครับ น่าติดตาม หนังสือชวนให้เราอยากรู้ว่าเรื่องราวต่อไปจะเป็นอย่างไร และที่สำคัญสำหรับผมของหนังสือเล่มนี้คือ การสอดแทรกข้อคิดต่างๆ ที่ดีมากๆ เกี่ยวกับเวลาให้พวกเราได้อ่าน ได้ทำความเข้าใจกัน

บางครั้งแล้ว พวกเราใช้ชีวิตอย่างรีบเร่ง และเคร่งเครียด หรือบางครั้งก็ทำตัวตามสบายใจมากเกินไป จนพวกเราลืมกันไปว่า เราทุกคนบนโลกใบนี้มีเวลาอยู่อย่างจำกัด หนังสือ  บุรุษผู้นับเวลา  หรือ The Time Keeper  จะมาย้ำเตือนกันอีกครั้งว่า ความหมายที่แท้จริงของเวลา คืออะไร (ไปหาคำตอบกันในหนังสือนะครับ)
Continue Reading...

Recommended Book: 500 Greatest Quotes TO Inspire. A good book for everyone that need inspiration or encouragement.

“Never, ever ever ever ever give up.”
Winston Churchill


Wow, time past by soooo fast. Four years, yes four years that I did not write a review or conclude what I have read. The first book I would like to review is my favorite book that always near me. I reading it a lot because it easy to read and it encourage me especially when I need inner strength and will power.
Let’s think about what one ordinary guys do in everyday five days a week. Wake up very early in morning, like 5:45 or early than that. Then rush for shower, if they can walk through the water and it will be clean I think they will do so.  Most people do not have time for breakfast at home they just have breakfast on their desk. How they will find the time for reading a good book? After work hours!?! Are you sure?  Work are much tried that you expect, if you do the thing that you love it an exceptional.  Other than work, your co-worker what should I say… that type of co-worker that annoying you all days long. Then when you get home, you might think it is enough for today and think that I should have a rest today then you put the book aside and pick up your phone and lie down on comfortable couch. How’s that? I know many people do that, me too.


Maybe we can do as Japanese that reading a book on MRT, BTS or event Airport link. Hmmm, thinking of salary man reading a book on the train in rush hours you need to have focus on what you read, station that you need to get out, balance yourself not to bump with other too much, etc. Then the book that you pick need to be more easy to read and understand, can stop reading anytime you prefer. It should not be a continuously book. That why I recommend this book for you, 500 Greatest Quotes in there to inspire you in an amount of time. It like my secret book that has everything in there for me.
This book, Bundit Ungrangsee has collected a lot of epigrams and quotes then divide in category that we can select which part we would like to read. Most people might think… that’s it!!! Just collect epigrams and quotes from people around the world, really!? “Yes, it is”. Why I like this book a lot? As I told you before, in one day we have many stories and many thing come across us that make you dissatisfied. Then if we read a good book, good epigrams or good quotes, every morning it like you life-giving. It will make you think in different way as you cannot think of.



I would like to tell you about my story
When we work it is usually that when we get a praise or appreciation in the meeting. After meeting something strange happen some people will start gossip and envy of you have got. If you never met this type of story you are so lucky. I would like to say ‘Congratulation! From bottom of my heart.’ Because you be in the position that many people dream of. If you do good thing then people starting gossip and envy you, you might say it normal. But if you have to facing this every day it might not be easy to get away with it and can make your life miserable. I work hard because I do what you love but reward from that is envy and gossip. It is a hardest environment to work with. As you know every problem has the way out and might have many thing that you can do to make situation better, one way to do is think positive or some people say ‘living in the dream world’ Reading the good book is one way for me. Many days past by I have try to make the situation better, on my ordinary day to work I open this book randomly as usually I found this quote.

'Everybody pities the weak; jealousy you have to earn’ 
- Arnold Schwarzenegger.

Just a little quote that cheer me up. If you have any quote that cheer you up please let me know.

Continue Reading...

Saturday, June 28, 2014

หนังสือแนะนำ: ปลุกยักษ์ใหญ่ในตัวคุณ (Recommended Book: Awaken the Giant within by Anthony Robbins)



"The only true security in life comes from knowing that 
every single day you are improving yourself in some way. 
I don't worry about maintaining the quality of my life, 
because every day I work on improving it."

Anthony Robbins



หนังสือเล่มนี้ ถ้าใครอ่านจบ ผมยืนยัน 100% ว่าคุณเก่งมาก เพราะว่า...อ่านหนังสือ Awaken the Giant within หนามากกกกกกกครับ เรามาดูความหนาก่อนว่าหนาประมาณไหน

แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์  (เล่ม 5) หนา 1,047 หน้า (ฉบับภาษาไทย)
แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต (เล่ม 7) หนา 697 หน้า (ฉบับภาษาไทย)
Awaken the Giant within หนา 893 หน้า (ฉบับภาษาไทย)

อืม...เป็นไงบ้างครับ น้อยกว่าแฮรี่ ภาค 5 ไปนิดนึง แต่มากกว่า แฮรี่เล่มสุดท้ายไปเกือบสองร้อยหน้า ถ้าคุณคิดว่าไหว ก็ลุยกันเลยครับ

หนังสือนี้เล่ม ผมเคยอ่านไปเมื่อหลายปีมากแล้วครับ จำไม่ได้จริงๆว่าอ่านไปได้อย่างไง เพราะมันหนามาก สิ่งที่จำได้แม่นมากๆเลยหลังจากที่อ่านหนังสือเล่มนี้จบ คือ ผมอ่านหนังสือเร็วขึ้นมากๆ จริงๆนะ อ่านหนังสือเร็วขึ้นมากๆ หนังสือเล่มนี้เขียนโดยคุณ Anthony Robbins ที่ใช้รูปแบบมาในหนังสือเป็นการเล่าเรื่องให้เราฟังมากกว่าจะเป็นเขียนเป็นหลักการ เหมือนหนังสือทั่วๆไป ถึงวิธีการต่างๆที่ทำให้เป็นคนที่ active ในการดำเนินชีวิต แม้หน้งสือจะหนามาก แต่ผมก็ยังจำเรื่องราวตอนเริ่มของหนังสือได้ ประมาณว่า เขากำลังนั่งอยู่ในเครื่องบินส่วนตัวที่กำลังมุ่งหน้าไปงานสัมมนาของเขาเอง เขามองไปตามถนนต่างๆ พบว่า รถติดมากกกก เพราะว่าผู้คนจำนวนมากกำลังมุ่งหน้าไปงานสัมมนาของเขา!!! และทันใดนั้น เขาก็มองไปเห็นตึกๆนึงที่จำได้อย่างแม่นยำว่า "ตึกนี้เขาเคยเป็นภารโรงเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว"!!!

หนังสือจะแสดงให้คุณได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของมนุษย์ ไม่ว่าจะตกต่ำสักเพียงใด ไม่ว่าชีวิตจะอยู่ที่จุดไหน มนุษย์ทุกคนสามารถก้าวไปถึงจุดที่ตัวเองใฝ่ฝันได้ ขอเพียงรู้แน่ชัดว่าต้องการอะไร และมุ่งมั่นอย่างแท้จริง

และถ้าคุณคิดว่า "แล้วถ้าเราไปไม่ถึงจุดหมายล่ะ" ข้อนี้ ผมยืนยันได้ ถ้าคุณได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว อย่างน้อยที่สุดชีวิตคุณจะก้าวออกมาไกลกว่าจุดเดิมมาก มากถึงขนาดที่ว่าคุณอาจจะคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่า คุณจะมาไกลได้ขนาดนี้ ทำอะไรได้มากขนาดนี้ หรืออ่านหนังสือหนาขนาดนี้จบได้!!! ชีวิตนี้สั้นนัก ผมว่ามันคุ้มที่จะลองเสี่ยงพยายามเพื่อที่ให้เราเข้าใกล้ความฝันของเรา แม้ว่าคุณอาจจะไม่ได้มีเครื่องบนส่วนตัวไว้นั่งเล่นเพื่อหนีรถติด แต่ชีวิตคุณจะดีขึ้นแน่นอน ถ้าคุณพยายาม!!!

ปล. ผมมีหนังสืออีกเล่มเป็นของคนไทยเขียนนะครับ คนเขียนคนนี้เคยไปเรียนกับคุณ Anthony Robbins มาแล้ว ซึ่งค่าเรียนก็มีราคาเป็นแสนเลย!!! ไป ดูหนังสือได้ที่นี้ครับ
Continue Reading...

The pursuit of HAPPYNESS (ยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้)

“You got a dream, you gotta protect it. People can’t do something themselves, 
they wanna tell you, you can’t do it. If you want something, go get it. Period.”

The Pursuit of Happyness






อันคำว่าความสุข ที่เป็นคำนามในภาษาอังกฤษนั้น ต้องเปลี่ยน y เป็น i แล้วค่อยเติม -ness ถ้าใครเขียนผิดตอนที่คุณครูให้ทำ Dictation คงจะจำกันได้ดี แม้แต่ Christ Gardner พระเอกในหนังเรื่อง The pursuit of HAPPYNESS ก็รู้ว่าคำว่า ความสุข มันสระกดอย่างไง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่มีความสุขเลย ถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่า ห่างไปจากความว่าความสุขยิ่งกัน ไม่มีเงิน เมียทิ้ง ไม่มีค่าเช่าบ้าน และที่สำคัญ ไม่มีความสุขในชีวิตเลย 

ในช่วงหนึ่งของชีวิต เขาสงสัยใน คำประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา ที่ถูกเขียนตั้งแต่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 โดย Thomas Jefferson ซึ่งมีถ้อยคำตอนหนึ่งว่า

"มนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน และพระเจ้าผู้สร้างได้มอบสิทธิบางประการที่จะเพิกถอนมิได้ไว้ให้แก่มนุษย์ ในบรรดาสิทธิเหล่านั้น ได้แก่ ชีวิต เสรีภาพ และการเสาะแสวงหาความสุข (The pursuit of happiness)"



แม้กระทั่งคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกาที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ก็ยังพูดถึงการไล่ล่าหาความสุข!!! สิ่งที่ผมได้เล่าไปข้างบน คือ เรื่องจริงของมหาเศรษฐีผู้หนึ่ง ผู้ที่เคยจนสุดๆ ทุกข์สุดๆ และได้พยายามแบบสุดๆ เพื่อไล่ล่าหาความสุข (Pursuit of HappYness) ประวัติของ Christ Gardner สามารถหาอ่านได้จากในหนังสือ หรือจะไปหาหนังมาดูก็ได้

แต่ผมชอบหนังเรื่องนี้เป็นพิเศษมากๆๆๆๆๆๆ เพราะว่า มันสื่อได้ถึงชีวิตจริง ไม่ได้เป็นเหมือนหนังทั่วไปตามท้องตลาดที่พระเอกพยายามในช่วงแรกของหนัง พอมากลางๆเรื่องชีวิตก็ดีขึ้น สนุกขึ้น ตอนจบก็ happy ending แต่หนังเรื่องนี้มันไม่ได้เป็นแบบนี้ โดนมากๆๆๆ แต่บางคนก็ไม่ชอบเพราะมันอาจจะเครียดไป หรือกดดันไปสำหรับบางคน Christ Gardner ต้องพยายามอย่างมากที่จะหาเงินมาเลี้ยงดูลูก ในบางวันเขาไม่มีแม้แต่ที่นอนไปแอบไปนอนในห้องน้ำของรถไฟใต้ดิน หนังเรื่องนี้ก็จบแบบ happy ending แต่ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ความสุขนะ มีแค่ 2 -3 นาทีเท่านั้นเอง!!! นี้ล่ะความสุขที่เรากำลังพูดถึงอยู่ แล้วที่ใช้เวลาในหนังประมาณชั่วโมงกว่าๆ เกือบๆจะสองชั่วโมง ก็เพื่อ "การไล่ล่าหาความสุขนั่นเอง" เพราะหนังเรื่องนี้คือ The pursuit of Happyness :)

ขอให้ท่านพบความสุขนะครับ
Continue Reading...

Thursday, June 26, 2014

Usagi Drop, story that can make your feel hearty (Bunny Drop)







Today I would like to review remarkable cartoon book. The book the make me feel very hearty also touch my hear a lot and make me reassure, ONLY for the first part. This cartoon also has an Anime version, call ‘Usagi Drop’.  Not only Anime also have a movie version too. That’s guarantee how good it is. Otherwise why it has Anime then movie version.

The story is about ordinary middle-aged office man name, Daikichi Kawachi. He have to take care cute little girl name ‘Rin Kaga’. He would like to take care, why he do so? Because relatives don’t want to. Relatives already know how hard to take care child but for him he think how hard it is going to be to take care ‘One’ child, (giggling).

Rin and Daikichi 

Rin 




Movie Version


The first part showing the story about Rin when she was young, both Anime and Movie will only have the first parts also. That’s why it make me feel very warm and hearty. It showing how cute and adorable little girl could be. I want to confess that I am searching for cartoon that make me feeling good like this for a long time. After watch I think that I want to have a daughter, it going to be fun and excited.


The second part it telling story when Rin is in high school, after reading a cartoon it make me feel… is it the same story? I don’t say it is not good but I expect it totally different way after read the first part. I expect to get the same feeling after read the first part. But arrr what is that? I thinking to myself. Is it way that it is going to be? I start searching on Google and found many people feeling the same as I feel. I still falling in love with the first part anyway, how many time that I watch it? I stop counting already!


If you feel tried, despair in your life or feeling like want to do something but do not know yet, do not want to read a book, running, go out for exercise. I suggest to have some rest and then see this Anime, Usagin Drop. If it does not enough see the movie version also. You can do this with your family. After finish the first part, WARNING you not to looking for the second part. Just stop there, I already warn you!!!! 


Continue Reading...

Wednesday, June 25, 2014

หนังสือแนะนำ: เงินหรือชีวิต เปลี่ยนทัศนคติต่อเงิน สู่อิสรภาพของชีวิต (Recommended Book: Your money or Your Life)

"แม้ผู้คนรวยขึ้นเป็น 2 เท่า แต่กลับเป็นสุขน้อยลง"
การสำรวจของศูนย์วิจัยทัศนคติแห่งชาติของมหาวิทยาลัยชิคาโก 
(พ.ศ. 2500 จนถึง พ.ศ. 2541)

English version

ฉบับภาษาไทยของ มูลนิธิโกมลคีมทอง


เราอาจจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า หนังสือดีเปลี่ยนชีวิต วันนี้ผมจะมายืนยันอีกครั้งว่า คำกล่าวนี้เป็นจริง หาใช่ว่านิทานหลอกเด็กชวนฝันของการตลาด คำกล่าวนี้ไม่ใช่เรื่องชวนฝันจากฝ่ายโฆษณา หนังสือที่ผมจะมาเล่าในวันนี้ คือ "Your money or Your Life" หรือ "เงินหรือชีวิต เปลี่ยนทัศนคติต่อเงิน สู่อิสรภาพของชีวิต" ฉบับที่ผมมีนั้นเป็นของมูลนิธิโกมลคีมทอง ตามรูปที่แสดงให้ดู

หนังสือเล่มนี้เก่ามากกกกแล้วนะครับ อ่านไปครั้งแรกน่าจะประมาณ 10 ปีที่แล้ว...(เริ่มรู้สึกว่าตัวเองแก่) อย่างที่บอกไปนะครับว่าหนังสือเล่มนี้เก่าแล้ว ต้นฉบับภาษาอังกฤษถ้าจำไม่ผิดจะพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ปี 1992 ตอนนี้มีการตีพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับปรับปรุงเนื้อหาใหม่แล้ว ผมอ่านเฉพาะภาษาไทยของมูลนิธิโกมลคีมทองนะครับ เข้าใจตรงกันก่อนนะ

ทีนี้ด้วยความที่หนังสือมันเก่า การเขียน การดำเนิน การเล่าเรื่อง จะช้ามากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เปรียบเทียบได้กับ Lord of The Ring เล่มแรก ตอนแรกๆที่เล่า พรรณนาถึงสภาพแวดล้อมในโลกของฮอบบิท ถ้าใครเคยอ่านคงจะจำกันได้ว่า ช่วงแรกนั้นเล่ารายละเอียดซะเยอะ จนไม่อยากจะอ่าน ประมาณว่า บรรยายแม่งต้นไม้ทุกต้น ต้นหญ้าทุกก่อ  

หนังสือเล่มนี้ก็บรรยายช่วงแรกได้...เรื่อยๆมาก แต่ผมโชคดีที่สามารถทนอ่านจนถึงช่วงสนุกได้ เช่นเดียว Lord of The Ring ถ้าพ้นช่วงแรกไปได้แล้ว เราก็จะสนุกมาก  "Your money or Your Life" ก็เหมือนกัน!!! เท่าที่ผมนั่งไตร่ตรองดู ก็คงเป็นเพราะหนังสือได้บรรยาย ลงรายละเอียดถึงแนวคิดต่างๆ เกี่ยวกับการทำงาน ถ้าจะพูดให้ถูกน่าจะเป็นการเล่าประวัติการทำงานของมวลมนุษย์เลยดีกว่า เพราะเล่ารวบรวมและคลอบคลุม หลายเรื่องมากๆ เพราะว่าผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ คือ โจ โดมิงเกซและวิกกี้ โรบิน เคยทำงานอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ Wall Street และเกษียณอายุตัวเองตอน 31 ปี เพราะคำนวณดูแล้ว รู้ว่ามีความสุขมากกว่า!!!

สิ่งที่หนังสือเล่มนี้ได้เขียนไว้ ผมและคนอีกหลายๆคน ได้ใช้เป็นพื้นฐานในการลงทุนของชีวิตนี้เลย รวมไปถึงหนังสือสมัยนี้อีกหลายๆเล่ม ได้นำแนวคิดของหนังสือเล่มไปใช้ สิ่งที่สำคัญที่ต้องพูดถึงถ้าอ่านหนังสือเล่มนี้ คือ เงินที่ได้จริงๆจากการทำงานนั้น เราได้จริงๆเท่าไร เพราะว่าเราทุกคนต้องแลกด้วยพลังงานและเวลาของเราเองที่มีอย่างจำกัดในการใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ ย้ำอีกครั้งว่า หนังสือเล่มนี้ลงรายละเอียดมากครับ ถ้าคุณอ่านแล้วอยากรู้ว่าทำไมผมไม่สรุปออกมาให้อ่านล่ะ ผมบอกเลยว่า มันได้คนละอารมณ์กันครับ

และจุดสุดยอดดด ของหนังสือนี้สำหรับผม คือ ตอนที่บอกให้เห็นว่า "เราประหยัดไปทำไม" หลายคนคงจำกันได้ว่าตอนที่เรียนตั้งแต่สมัยประถมเลย คุณครูให้ทำสมุดบัญชี เพื่อให้นักเรียนรู้จักการออมเงิน แต่พอโตขึ้นมา ประหยัดนะรู้จัก แต่การทำงานและชีวิตจริง มันไม่ได้สวยหรูเสมอ มันทั้งความเครียด ความทุกข์ จนบางทีเราก็ท้อว่า จะประหยัดไปทำไมกัน ถ้าตายไปเราก็เอาไปไม่ได้ และหลายคนก็เลย ใช้เงินซื้อความสุข และจุดนี้เอง ผมและคนอีกหลายคนยังไม่เห็นภาพที่ชัดเจนว่า เราจะประหยัดไปทำไม!!! 

หนังสือเล่มครับ ตอบได้ และ เห็นภาพชัดเจนแน่นอน!!! ผมยืนยัน นอนยัน นั่งยัน ก็เล่นเล่าซะละเอียดขนาดนั้น (หนังสือ เงินหรือชีวิต เปลี่ยนทัศนคติต่อเงิน สู่อิสรภาพของชีวิต หนา 520 หน้า เท่านั้นเอง!!! น้อยกว่า Harry Potter เล่ม 7 อีกนะครับ) แต่ปัญหาคุณๆทั้งหลายจะทนอ่านกันจนจบได้ไหมครับ ฮ่าๆๆๆๆ

Continue Reading...

Tuesday, June 24, 2014

หนังสือแนะนำ The Seed : Finding Purpose and Happiness in Life and Work by Jon Gordon (ปลูกเป้าหมาย เปลี่ยนความเบื่อหน่ายให้กลายเป็นความสุข)

"ชีวิตไม่ได้ให้สิ่งที่เราต้องการเสมอไป แต่ชีวิตให้สิ่งที่เราจำเป็นต้องมี"
จากหนังสือ The Seed




ขอเล่าย้อนกลับไป สมัยยังเป็นหนุ่มๆ การที่จะอ่านหนังสือแบบนี้ เล่าเรื่องประมาณนี้ไม่เคยมีความคิดในหัว ไม่เคยคิดจะเสียตังค์ไปซื้อมาด้วยซ้ำ เพราะอะไรนะเหรอ... หนังสือประเภทสำหรับคนหมดไฟ ใช้ชีวิตเหมือนไม่มีเป้าหมาย ถ้าจะให้เปรียบเทียบให้ชัด ก็เทียบได้กับหลายๆคนที่ตอนหนุ่มนะๆ กินเข้าไปเหอะๆ กินกี่มื้อก็ได้ กินเยอะแค่ไหนก็ได้ ตัวอ. อ่าง ของคำว่า "อ้วน" ยังไม่มีทางที่จะเข้ามาใกล้ๆ เหอะๆ แต่ตอนนี้นะเหรอ แค่มองอาหารแม่งที่ก็อ้วนแล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ปก version ภาษาอังกฤษ


แล้วช่วงหนึ่งของชีวิตที่ผ่านเข้ามา...ทำให้ต้องการหนังสือประเภทนี้ ซึ่งช่วงเวลานั้นก็ประจวบเหมาะที่กับหนังสือ "The Seed : Finding Purpose and Happiness in Life and Work " แปลเป็นภาษาไทยพอดี เรื่องราวคร่าวๆ คือ พระเอกของเราเคยเป็นพนักงานที่ไฟแรงมากกกกก ผลงานยอดเยี่ยม แต่พอทำงานไปหลายปีเข้า ก็หมดไฟ ไม่มีกำลังใจในการทำงาน จนกระทั่งท่านหัวหน้า หรือ boss ให้ลาพัก 2 อาทิตย์ ไปคิดมาว่า จะออกไปทำงานที่อื่น หรือจะกลับมาตั้งใจทำงานให้เหมือนเดิม

ถ้าใครเคยเป็น หรือกำลังเป็นอยู่ ในจะเข้าใจ ประหนึ่งว่า อยู่เหตุการณ์กันเลยทีเดียว!!! เรื่องราวในหนังสือก็เล่าว่าพระเอกเดินทางที่ไหนบ้าง ในการตามหาแรงบันดาล หรือเป้าหมายในการมีชีวิต ได้พบเจอเรื่องราวต่างๆ ทำให้กลับมาคิดได้ทีละเล็ก ทีละน้อย เหมือนเก็บ Exp เพื่อ up Level เช่น กลับไปหาคุณพ่อคุณแม่, กลับไปที่มหาลัย ไปพาอาจารย์ ไปที่ต่างๆในอดีต และแน่นอน ต้องหาโอกาสไปสัมภาษณ์งานใหม่ด้วยซิ!!! ผมจะไม่ขอเล่าทั้งหมดนะครับ เดี๋ยวจะไปอ่านแล้วไม่สนุกกัน

อ่านจบแล้ว ถามว่าให้กำลังใจเพิ่มไหม.... ขอตอบว่า ทำให้สงบมากขึ้นแล้วกัน ไม่ตัดสินใจอะไรแบบด่วนๆ ใจร้อน เพราะว่าผมเคยอ่านหนังสือมาเยอะ บางเล่มอ่านจบแล้วนี้ คึกมาก ประหนึ่งกินกาแฟแรงๆมาเลยทีเดียว แต่เล่มนี้ไม่ใช่ ต้องขอบอกก่อนว่า ผู้เขียนได้สอดแทรกข้อคิดและแรงบันดาลใจไปตลอดทั้งเล่ม ทำให้อ่านได้ง่าย แต่พอดีว่าตอนที่อ่าน อารมณ์ไม่ได้อยู่ห้วงเวลาที่สามารถ ถอดข้อความที่ Jon Gordon พยายามซ่อนได้ทั้งหมดครับ

ถ้าใครอ่านแล้วรู้สึกอย่างไงมาแชร์กันนะครับบบบ
Continue Reading...

Monday, June 23, 2014

Usagi Drop เรื่องราวที่จะทำให้หัวใจของคุณอบอุ่น (Bunny Drop หรือ คุณน้าผม อายุ 6 ขวบ)




Version Manga
วันนี้มาแปลกหน่อยครับ ไม่ได้ review หนังสือธรรมดานะครับ แต่เป็นหนังสือการ์ตูน... หนังสือการ์ตูนที่อ่านครึ่งแรกแล้วหัวใจอบอุ่นมาก รู้สึกดีมากๆ (ย้ำอีกครั้งนะคับว่า ครึ่งแรก ฮ่าๆ) เรื่องนี้ได้รับการทำเป็น Anime ด้วยนะครับ ชื่อ Usagi Drop เหมือนกัน แต่ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น เพราะว่า Usagi Drop ได้รับการทำเป็นภาพยนตร์ด้วยยยยยย นี้เป็นการการันตีได้เลยว่า เรื่องนี้ต้องมีอะไรดีแน่ๆ ไม่งั้นไม่ลงทุนทำทั้ง Anime แถมยังต่อด้วย Movie ที่ใช้คนแสดงอีก


เนื่อเรื้องคราวๆก็ประมาณว่า ชายวัยกลางคน พนักงาน office ธรรมดา(ไดสุเกะ) ต้องดูแลเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง (รินจัง) ที่ไม่มีคนญาติคนไหนอยากรับไปดูแลให้เป็นภาระ เพราะว่าคนที่เคยเลี้ยงลูกจะรู้ดีว่าเหนื่อยแค่ไหน แต่ท่านพระเอกของเรา เป็นชายวัยกลางคนโสดสนิท คิดว่าการดูแลแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนึงจะเหนื่อยแค่ไหน!?!?


รินจังกับไดสุเกะ


รินจังงง






Version Movie


เนื้อเรื่องตามหนังสือการ์ตูนนั้นจะแบ่งเป็น 2 ภาค ภาคตอนรินเป็นเด็ก ซึ่ง version Anime และ Movie จะสร้างจากภาคตอนรินเป็นเด็ก ซึ่งดูแล้ว อบอุ่นหัวใจมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ก ไก่ หมดโลก คืออยากดูการ์ตูนแล้ว feel good แบบนี้มานานมากแล้ว ความรุ้สึกตอนนั้น ประมาณว่า ดูแล้วมีความคิดว่า อยากมีลูกสาวกันเลยทีเดียว ^ ^ 

ส่วนภาค 2 จะเป็นตอนที่รินโตอยู่ม.ปลาย ซึ่งให้ความรู้สึกเป็น..................หนังคนละม้วนเลยนะครับ คือ ไม่ได้บอกว่า ไม่ดีนะ แต่ผมก็ expect ว่าอ่านหนังสือการ์ตูนภาคนี้แล้วจะได้ feeling ดีๆเหมือนเดิม แต่อ่านจบก็ เงิบบบบบบบบบบบบบบบบบบ กันไปเลยเดียว ฮ่าๆๆๆๆๆ และหลายคนก็เงิบบวกรับไม่ได้ก็มี ไปตั้งกระทู้ถามกันเลยทีเดียว ที่ผมรู้เพราะว่า พออ่านจบ ก็คิดว่า "มันจะเป็นแบบนี้จริงเหรอว่ะ/ครับ" ก็เลย search กันยกใหญ่ ผลก็คือ มีคนรู้สึกแบบนี้หลายคนเลย ฮ่าๆๆๆๆ

ถ้าใครเหนื่อยกับชีวิต ใช้ชีวิตประหนึ่งคนหมดไฟ อยากหาอะไรทำสักแต่ก็ยังไม่รู้ ไม่อยากอ่านหนังสือ ไม่มีแรงไปวิ่ง ไม่มีแรงไปออกกำลัง ผมอยากให้พักผ่อนก่อน  และแนะนำว่าดู Anime Usagi Drop ถ้ายังไม่พอแล้วไปหาหนังมานั่งดู จะดูกันทั้งครอบครัวก็ได้ แต่จบแล้ว ไม่ต้องตามไปอ่านหนังสือการ์ตูนภาคหลังกันแล้ว โอเคนะ!!! เราเตือนคุณแล้ว



Continue Reading...

Sunday, June 22, 2014

หนังสือที่อยากอ่าน แต่ยังไม่ได้อ่าน “ชุดประดาน้ำและผีเสื้อ” (The Diving Bell and The Butterfly by Jean-Dominique Bauby)

ผมรู้จักหนังสือเล่มนี้จากการฟังการบรรยายธรรมของท่าน ว. วชิรเมธี ซึ่งท่าน ว. ได้มีการกล่าวถึงหนังสือเล่มนี้ ว่าเป็นหนังสือเล่มนึงที่ใช้ความพยายามมากที่สุดในโลกการเขียน หรือสามารถกล่าวได้ว่า เป็นหนังสือที่เขียนโดย ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่มนุษย์พึ่งจะสามารถกระทำได้

ปก version ภาษาอังกฤษ



ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้คือ ฌ็อง - โดมินิก โบบี้  (Jean-Dominique Bauby) เป็นอดีตบรรณาธิการนิตรสารชื่อดังที่ประเทศฝรั่งเศส แต่ทว่าโชคชะตาได้เล่นตลกกับเขา โดยส่งผลให้เขาเป็นอัมพาตทั้งตัว ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ จะสามารถเคลื่อนไหวได้แค่เปลือกตาซ้ายเท่านั้น และเขาก็ได้ใช้แค่เปลือกตาซ้ายในการเขียนหนังสือเล่มนี้ 

วิธีการเขียนของเขา คือ ให้ผู้ช่วยอ่าน A B C D … ไปเรื่อยๆ จนถึงตัวอักษรที่ตรงใจเขา เขาก็จะกระพริบตา แล้วผู้ช่วยเขาก็จะเริ่มท่องใหม่อีกครั้งทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ทีละตัว ทีละคำ จนกลายเป็นประโยค (จริงๆ หลังๆจะเริ่มมีการพัฒนาวิธีการเขียนให้เร็วขึ้น กว่านี้อีกนิด โดยการมี list ของตัวอักษรที่ใช้บ่อยๆ) นี้เป็นวิธีการเขียนหนังสือด้วยตาซ้ายเล่มแรกของโลก จะน่าจะเป็นหนังสือที่ใช้ความพยายามมากที่สุดในโลกด้วย แต่เรื่องน่าเศร้าคือ เมื่อผลงานชิ้นนี้วางจำหน่ายได้เพียงสามวัน ฌ็อง - โดมินิก โบบี้  ก็ได้จากโลกนี้ไป และหนังสือเล่มนี้ได้จำหน่ายไป 1.5 ล้านเล่มในอาทิตย์แรก หนังสือเล่มนี้มีการแปลเป็นภาษาไทยแล้วครับ และก็มีหลายปกด้วยตามรูปเลย



ปก version ภาษาไทย ไม่ครบทุกแบบนะครับ


เพราะว่าหนังสือเล่มนี้ สามารถกล่าวได้ว่าเป็นสุดยอดแห่งความเพียร พยายาม ดังนั้นแล้วมีหรือจะหยุดความสำเร็จไว้แค่หนังสือ... เรื่องราวของ ฌ็อง - โดมินิก โบบี้  ได้ทำเป็นภาพยนตร์และได้รับคะแนน review มากถึง 8.1 จาก IMDB 
The Diving Bell and the Butterfly – May 2007

วิธีการที่จะทำให้เขียนหนังสื้อได้เร็วขึ้น โดยการ list ตัวอักษรที่ใช้บ่อยไว้ในกระดาษ



Trailer - The Diving Bell and the Butterfly  



ถ้าผมสามารถหาซื้อได้แล้ว จะมา review อีกทีนะครับ หรือถ้าใครอ่านแล้วมาแชร์ความรู้สึกกันได้ครับ
Continue Reading...

หนังสือแนะนำ สู้ต่อไป เพื่อความสำเร็จ (Recommended Book: The Traveler's Gift by Andy Andrews)

การตัดสินใจประการแรกที่นำไปสู่ความสำเร็จ
"หยุดโยนความผิดให้ผู้อื่น"
จากหนังสือ The Traveler's Gift


หนังสือประเภทพัฒนาตัวเอง โดยส่วนมากนั้นก็มักจะอธิบายหลักการต่างๆ เป็นหัวข้อหรือ Tips ให้เข้าใจได้ง่ายๆ ซึ่งบางทีหลังจากที่่เราอ่านหนังสือประเภอไปเยอะๆ ก็จะมีอาการเบื่อกันได้ แต่ว่าหนังสือเล่มนี้ีมีบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างกันออกไป
ปกหนังสือ version ภาษาอังกฤษ และ version ภาษาไทย



จริงๆแล้วผมได้อ่าน The Traveler's Gift ไปประมาณ 2 ปีที่แล้ว แต่ถึงวันที่เขียนบทความนี้ ผมก็ยังจำบางสิ่งบางอย่างในหนังสือเล่มนี้ได้ ทั้งๆที่อ่านไปแค่่รอบเดียว นี้อาจจะเป็นสิ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า หนังสือเล่มอ่านเข้าใจและจำได้ง่าย

วิธีการเล่าเรื่อง Andy Andrews นั่นมีเอกลักษณ์และสนุกมากครับ จริงๆแล้วผมหาหนังสือเล่มนี้มาอ่าน เพราะได้มีโอกาสไปอ่านหนังสือของคุณ Andy Andrews แล้วชอบวิธีการเล่าเรื่อง สำหรับหนังสือเล่มนี้ คุณจะได้อ่านเรื่องราวของชายคนนึงซึ่งหมดหวังในชีวิต เพราะตกงาน ไม่มีเงินให้ครอบครัว และลูกของเขาที่กำลังป่วย และกำลังจะไปจบชีวิตตัวเอง!?!? ซึ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเดินทางของชายผู้นี้ ในเนื้อเรื่องนั้นเขาจะได้มีโอกาสที่คุยกับคนสำคัญในอดีตหลายๆคน เช่น ประธานาธิบดีทรูแมน, ประธานาธิบดีลินคอน, คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ทำให้เขาได้เรียนรู้ เคล็ดลับสุ่ความสำเร็จจากบุคคลสำคัญของโลก!!! สุดยอดมาก สำหรับวิธีการเล่าเรื่องของหนังสือเล่มนี้
ถ้่ามีโอกาสไปลองหามาอ่านกันได้นะครับ สนุกมากทำให้รู้สึกเหมือนกำลังอ่านนิยายอยุ่ แต่ว่านิยายนี้จะทำให้เราได้ความรู้ ความคิดที่ทำให้ประสบความสำเร็จด้วยนะซิ 

สู้ต่อไป ไอ้มดแดง!!!
Continue Reading...

Saturday, June 21, 2014

หนังสือแนะนำ คำคมกำลังใจ (Recommended Book: 500 Greatest Quotes TO INSPIRE) - ดีมากๆ สำหรับคนที่ต้องการกำลังใจ

“Never, ever ever ever ever give up.”
Winston Churchill



หนังสือเล่มแรกที่จะมาเล่าสู่กันฟัง หลังไม่ได้มาเข้าเขียนสรุปหรือรีวิวกันเลยเกือบจะ 4 ปี (ให้ดูบอลโลกกันอีกรอบแล้ว...อิอิ) จะขอนำหนังสือเล่มโปรดมาให้ดูกัน หนังสือเล่มนี้ผมหยิบขึ้นมาอ่านบ่อยมากๆถึงมากที่สุด เพราะว่า อ่านง่าย ให้กำลังใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ต้องการกำลังใจ หยิบมาอ่านตอนไหนก็ได้

เราลองนึกถึงชีวิตจริงของคนส่วนใหญ่กันดีกว่าครับ ตื่นเช้ามา ก็รีบไปอาบน้ำไปทำงาน หลายคนก็ไม่ได้ทานข้าวเช้าด้วยซ้ำ หรือไม่ก็ไปทานที่โต๊ะทำงานเลย จะให้ไปนั่งอ่านหนังสือกันที่ทำงานเลยก็คงจะไม่ค่อยดีนัก ถ้าลองนึกๆดูและหาเวลาอ่านหนังสือดีๆสักเล่มในวันทำงาน ก็คงต้องเป็นตอนหลังเลิกงาน !?!? แต่แน่ใจเหรอ แค่ทำงานก็เหนื่อยแล้ว วันนี้ยังไปเจอกับเพื่อนร่วมงานแบบนี้อีก เหอะๆ วันนี้ขอพักก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นก็หยิบมือถือนอนเล่น... หนังสือก็วางก่อน ฮ่าๆๆๆ เป็นไงบ้างครับ ผมไม่ทราบว่าใครหลายคนเป็นแบบนี้ไหม

หรือเอาแบบคนญี่ปุ่นก็ได้นะ เราไปอ่านหนังสือบนรถไฟฟ้ากัน ไม่ว่าจะเป็น BTS, MRT หรือ Airport Link อืมมมม ถ้ามนุษย์เงินแบบพวกเราไปอ่านหนังสือบนรถไฟฟ้าในช่วงเวลารีบด่วน เราควรที่จะมีสติ และสมาธิมาก ถึงขึ้นเหนือมนุษย์ ถ้าจะให้ไปอ่านหนังสือที่เข้าใจได้ยาก ดังนั้นหนังสือที่เราอ่านนั้นควรที่จะเข้าใจง่ายๆ อ่านเมื่อไรก็ได้ และไม่จำเป็นต้องอ่านต่อเนื่อง และทั้งหมดที่โม้มานั่น ก็เป็นเหตุผลให้ หนังสือนี้ "คำคมกำลังใจ 500 Greatest Quotes TO INSPIRE" เป็นหนังสือที่ผมพกติดตัวไว้ประหนึ่งคัมภีร์สุดยอดเคล็ดวิชา






หนังสือเล่มนี้ คุณบัณทิต อึ้งรังษี ได้รวมคำคมดีๆไว้มากมาย โดยแบ่งเป็นหมวดหมู่ให้เราเลือกไปเปิดอ่านได้ตามที่ชอบ... ตรงนี้บางคนอาจจะคิดว่า มีแค่นี้เองเหรอ!!! แค่รวมรวบคำคมคนดังต่างๆไว้ แค่นี้จริงๆเหรอ..............ถ้าจะให้ตอบแบบกำปั้นทุบดินก็ตอบเลยว่า "ใช่" แต่แล้วทำไมผมถึงชอบหนังสือเล่มนี้มากนัก ก็อย่างที่บอกไปครับ วันวันนึงพวกเราส่วนใหญ่ต้องพอเจอกับเรื่องต่างๆมากมายในชีวิตการทำงาน และโดยส่วนมากเรื่องที่เจอก็เป็นเรื่องที่เราไม่ชอบ ไม่พอใจหรือไม่ถูกใจ ดังนั้นการได้อ่านอะไรดีๆก่อนเริ่มงาน เหมือนเป็นการเติมไฟให้ชีวิต ทำให้ความคิดต่างๆของเราดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

ผมจะเล่าเรื่องจริง จากประสบการณ์ให้ฟังกันครับ
ในการทำงาน มันเป็นเรื่องที่ปกติมาก(มั้ง)ที่เราจะได้พบได้เจอกัน นั่นก็คือ พอเราทำงานได้ดีๆ ได้หน้าตา ได้ลูกค้ารายใหญ่ หรือได้รับคำชมอะไรสักอย่าง สิ่งที่จะเกิดขึ้นใน office ของคุณแทบจะทันทีเลยก็คือ..มีคนอิจฉา และนินทา ถ้าคุณไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้เลย สุดยอดมากครับ ผมขอแสดงความยินดีด้วยครับ คุณได้ทำงานที่ในที่หลายคนฝันอยู่ เพราะเราไปเจอเรื่องแบบนี้เข้าทุกวัน การไปทำงานมันชักจะไม่สนุกแล้วซิ เพราะทำงานมากไปก็โดนนินทา ทำงานดีไปก็โดนอิจฉา ทำงานเอาหน้า.... มันจะทำให้เราหมดไฟในชีวิตกันได้ง่ายๆนะ สภาพแวดล้อมแบบนี้ จริงๆปัญหาแบบนี้มันมีทางออก และวิธีการรับมือมากมายเลยนะครับ และหนึ่งในวิธีการเหล่านั้นก็คือ คิดบวกเข้าไว้ เป็นพวกโลกสวยว่างั้น... ซึ่งการอ่านหนังสือดีๆ ก็ทำให้เรามีความคิดดีๆได้ วันนึงก็เลยหยิบหนังสือ คำคมกำลังใจขึ้นมา เปิดไปมั่วๆเลย แล้วเจอประโยคนี้ครับ



"ถูกสงสาร คนอ่อนแอที่ไหนก็ทำได้
แต่ถูกอิจฉา คุณต้องเก่งหน่อย"
อาร์โนลด์   ชวาเชเน็กเกอร์


แค่ประโยคสั้น บางครั้งก็ทำให้คนเรามีกำลังใจขึ้นมาได้ ลองไปหาอ่านดูนะครับ มีคำพูดของใครประทับใจมาบอกกันด้วย ขอบคุณครับ
Continue Reading...

Time Files...เวลาผ่านไป ไวเหมือนโกหก

The bad news is time flies. The good news is you’re the pilot.
Michael Altshuler

Time Flies รู้สึกตัวอีกที มาดู blog ที่ถูกทิ้งร้างอันนี้ ก็ผ่านมาเกือบจะ 4 ปีแล้ว ซึ่งได้เรียนรู้อะไรต่างๆ อีกมากมาย จากการเดินทางในชีวิต และประสบการณ์ บอกง่ายๆว่า "แก่ขึ้น!!!"

แต่ถึงจะมาสายก็ยังดีกว่าไม่มา วันนี้ก็เลยมา update blog ปัดฝุ่นกันสักตั้งนึง... สิ่งที่ตั้งเป้าหมายไว้สำหรับ การบ่นหรือเขียนใน blog ก็จะเป็นการ review หนังสือเหมือนเดิม เพราะเป็นการสรุปสิ่งที่ได้อ่านมา เรื่องที่สองก็จะเป็นเรื่องรองเท้าวิ่ง ซึ่งตอนนี้ไม่ได้วิ่งเท่าไรแล้วแต่ก็ยังชอบใส่รองเท้าวิ่งอยู่?!?! เอะอย่างไง...
สิ่งที่จะมีเพิ่มเข้ามา ในการเขียนอีกเรื่องก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปประยุกต้ใช้จริง พอชีวิต เริ่มล่วงกาล ผ่านวัยมามาก ทำให้เริ่มคิดได้มากขึ้น และเรียนรู้อะไรมามากขึ้น ซึ่งบ่อยครั้งจะเกิดจาก ประสบการณ์อันเจ็บปวด I've learn it from hard way!!! ถ้ามีใครได้ผ่านเข้ามา ก็หวังว่าจะเกิดประโยชน์กันบ้าง 



coming soon...
Continue Reading...

Followers

Tags