HeaderAd

Wednesday, November 26, 2014

ลงแข่งขันก็เพื่อชัยชนะ แต่ถ้าคุณถูกห้ามแข่ง เพราะเขากลัวคุณชนะล่ะ?!?!


ปกติเราลงแข่งขันวิ่งก็เพื่อเอาชนะ ไม่ว่าจะเป็นเอาชนะตัวเอง หรือเอาชนะคู่แข่งเพื่อได้ขึ้นชื่อว่าเป็นที่หนึ่ง ซึ่งการเอาชนะแบบหลังนั้น ต้องมีการเตรียมพร้อมและฝึกซ้อม ที่หนักกว่ามากๆ และถ้าคุณซ้อมมาทั้งปีหรือหลายๆปี แล้วมีคนมาบอกคุณว่า "เธอช่วยไม่ลงแข่งได้ไหม? เพราะถ้าเธอลงเดี๋ยวเพื่อนจะไม่ชนะ!!!"

สิ่งที่ผมจะเล่าต่อไปนี้คือเรื่องจริงที่ยิ่งว่านิยายที่นำมาฉายเป็นละครหลังข่าว มันเป็นเรื่องราวของชายผู้มีต้นทุนชีวิตที่ต่ำ แต่หากมีศรัทธาชีวิตที่สูง และผมหวังเรื่องราวของเขาจะทำให้คุณมีแรงใจในการลุกขึ้นวิ่งไปสู่ความฝัน


"ไล่ตงจิ้น" ชายผู้เคยถูกขอไม่ให้เข้าแข่ง เพราะเดี๋ยวจะชนะอีก
ก่อนที่จะไปฟังเหตุการณ์ที่ไล่ตงจิ้นไม่ได้เข้าแข่งวิ่ง เราลองมาดูประวัติชีวิตของเขาสั้นๆกันก่อน ไล่ตงจิ้นเกิดมาในครอบครัวที่.................ที่ผมก็ไม่รู้จะว่าหาคำอะไรมาบรรยาย เพราะครอบครัวของเขามีสมาชิกทั้งหมด 14 คน เขามีพี่น้องทั้งหมด 12 คน ครบโหลพอดี ซึ่งมีพี่ชายคนโตและคุณแม่ปัญญาอ่อน และเหมือนสวรรค์ต้องการทดสอบความอดทนของยอดมนุษย์คนหนึ่ง คุณพ่อของไล่ตงจิ้นก็เป็นขอทานพเนจร ที่ตาบอด!!! ทำให้เขาต้องเป็นเสาหลักของบ้านด้วย

ที่กล่าวข้างต้น คือสถาพครอบครัวของไล่ตงจิ้นในตอนที่เกิด แต่เขาไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา พยายามทำทุกอย่าง เพื่อทำให้ชีวิตก้าวหน้า...เช่น หัดเขียนหนังสือบนแผ่นดินด้วยกิ่งไม้ เพราะไม่รู้จะไปหากระดาษกับดินสอจากไหน หัดเขียนจนชนะเลิศการคัดลายมือ สุดยอดมากๆ และแน่นอนครับ เมื่อเขาได้มีโอกาสที่จะลงแข่งขันวิ่ง เขาก็ซ้อม ซ้อม แล้วก็ซ้อมจนสามารถชนะการแข่งขันวิ่งได้ และหลังจากที่ชนะบ่อยๆ ก็เลยเกิดเหตุการณ์ตามที่กล่าวไปในตอนต้น คือ คุณครูขอไม่ให้ขอแข่งขัน เพราะถ้าไล่ตงจิ้นเข้าแข่ง เพื่อนๆจะไม่ชนะ เหอะๆ จริงๆ เรื่องราวก่อนที่ไล่ตงจิ้นจะเข้าเรียนได้เนี่ย ต้องต่อสู้มามากมายเลยครับ ถ้าเขียนแล้วบทความจะรันทดมาก ถ้าเป็นหนังก็ dark สุดๆ แต่คุณจะกำลังใจแน่นอน ดังนั้นผมขอแนะนำให้คุณไปหาหนังสือไล่ตงจิ้นมาอ่านเอง เพื่อรายละเอียดและอรรถรสที่ครบถ้วน พร้อมๆกับเสียน้ำตา หลังจากอ่าน เราไปวิ่ง วิ่ง วิ่ง แล้วก็วิ่งกันเถอะครับ

ปล. หนังสือเล่มนี้ผมเคยเขียนแนะนำไว้นานมากแล้วที่นี้ครับ [หนังสือแนะนำ ไล่ตงจิ้น]
Continue Reading...

Monday, November 24, 2014

อยากวิ่งให้ไกลขึ้นไหม? ก็ตั้งเป้าหมายให้ไกลขึ้นซิ



วันนี้คุณอาจจะออกไปวิ่งเพื่อสุขภาพ แต่เมื่อวานคุณอาจจะวิ่งเพื่อคลายเครียด หรือเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาคุณไปวิ่งเพื่อลดน้ำหนักเพราะเพิ่งไปจัดหนักมาในวันศุกร์และเสาร์ ฮ่าๆๆๆๆๆ ไม่ว่าคุณจะออกไปวิ่งด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม คุณอยากจะวิ่งให้ไกลขึ้นไหม หรืออยากวิ่งให้ได้ระยะทางมากกว่าเดิมไหม? พอดีว่าผมเองน่ะ อยากมากครับ ด้วยเหตุผลง่ายๆเพราะ รู้สึกและมโนนิดหน่อยว่า วิ่งแล้วหน้าท้องหาย รู้สึกว่าหุ่นดีขึ้น!?!? ฮ่าๆๆๆๆๆ ผมก็เลยไปถามพี่ๆที่เขาวิ่งเยอะๆ พี่เขาซ้อมวิ่งละ 20 km เป็นอย่างน้อย สำหรับผมแล้วยังไม่ถึงครึ่งของพี่เขาเลยครับ ผมถามพี่เขาด้วยคำถามง่ายๆว่า

หลักข้อเดียวที่จะทำให้วิ่งได้ไกลขึ้น คืออะไร
และนี้คือคำตอบที่สั้นมาก "ก็ตั้งเป้าหมายให้ไกลขึ้นซิว่ะ(ครับ)!!!"  อืม...ฟังเสร็จก็ติด stun ครับ ง่ายๆแค่นั้นเลยเหรอ ก็เลยของคำตอบเวอร์ชั่นยาวๆหน่อย อิอิ จริงๆเรื่องการตั้งเป้าหมายเนี่ย มันเป็นสิ่งสำคัญมาก สำหรับองค์กรหรือบริษัทครับ คุณเองสังเกตุดูซิ ผู้บริหารเขาจะออกมาตั้งเป้าหมายในแต่ละปี หรือในแต่ละเดือน ซึ่งเป้าหมายที่พวกผู้ใหญ่หรือผู้บริหารตั้งมานั้น สูงอยู่แล้ว และหลายๆครั้งคนส่วนมากคิดว่าสูงไป! แต่ผลลัพธ์หลายครั้ง กลับทำให้ประหลาดใจกว่า คือ "เราไปถึงเป้าหมายครับ"

ฝรั่งจะมีสำนวณเลยว่า "You Get What You Measure" คุณวัดผลอะไร คุณก็จะได้สิ่งนั้น ในการเรื่องของวิ่งก็เหมือนกัน ถ้าคุณตั้งเป้าไปเลยว่า "วันนี้จะไปวิ่งให้ 10 km!!!" คุณมีแนวโน้มว่าจะไปวิ่งได้มากกว่าการตั้งเป้าหมายว่า "วันนี้จะวิ่งจนเหนื่อย" แล้วไอ้การตั้งเป้าหมายแบบที่สองมันจะวิ่งไปได้ไกลจริงๆเหรอ? เพราะการวิ่งน่ะมันเหนื่อยอยู่แล้ว แต่คุณจะหยุดหรือเปล่าก็แค่นั้นเอง ดังนั้นถ้าคุณอยากลดน้ำหนัก หรืออยากวิ่งให้ได้ระยะทางไกลขึ้น วันนี้เราลองมาตั้งเป้าหมายให้สูงๆกัน

ไป...ออกไปวิ่งกันเลย สู้ สู้!!!
Continue Reading...

Friday, November 21, 2014

ดร.แกรี่ กรีนเบิร์ก (Dr. Gary Greenberg): เรียนรู้โลกจากเม็ดทราย

"เมื่อเรากำลังเดินบนพื้นทรายนั้น จริงๆแล้วเรากำลังเดินอยู่บนประวัติศาสตร์
เป็นล้านๆปีของชีววิทยาและธรณีวิทยา"
แกรี่ กรีนเบิร์ก


เม็ดทรายจากเกาะเมาวี (MAUI)
เวลาที่ผมนั่งดู TED Talk แล้วรู้สึกประทับใจ โดยส่วนมากจะมาจากนักพูดที่พูดให้กำลังใจและแรงบันดาลใจอยู่แล้ว แต่ว่าคราวนี้ผมกลับประทับใจกับคุณแกรี่ กรีนเบิร์ก (Gary Greenberg) ซึ่งทำงานเกี่ยวกับ photographer, biomedical (ช่างภาพและชีวการแพทย์)!?!? สิ่งที่คุณแกรี่ กรีนเบิร์กเล่าให้พวกเราฟังคือ การมองโลกจากมุมมองใหม่ๆ และในทีนี้คือ มุมมองในระดับไมโครเมตร (1 มิลลิเมตร เท่ากับ 1,000 ไมโครเมตร นะครับ) สิ่งที่น่าประหลาดใจมากคือ เขาเล่าให้พวกเราฟังเกี่ยวกับเม็ดทราย และไม่น่าเชื่อว่าเม็ดทรายตามชายหาดนี้ล่ะ จะมีความน่าสนใจมากกกกกถึงขนาดนี้

ลักษณะชีววิทยาและธรณีวิทยารอบเกาะเมาวี (MAUI)
โดยภาพแรกที่คุณได้เห็นเป็นสิ่งต่างๆที่อยู่ทรายที่มาจากเกาะเมาวี (MAUI) และเหตุผลที่เม็ดทรายมีลักษณะแบบนี้ก็เพราะว่าสภาพแวดล้อมของเกาะเมาวีมีประการังและสิ่งมีชีวิตต่างๆ พอพวกมันตายซากกระดูก ฟัน และสิ่งต่างๆก็จะมารวมอยู่ในทราย และทรายในแต่ละที่ทั่วโลกจะมีลักษณะแตกต่างกันไป ซึ่งจริงๆแล้วเวลาที่เราเดินอยู่บนพื้นทรายน่ะ เรากำลังเดินอยู่บนบันทึกทางชีววิทยาและธรณีวิทยาที่มีมาเป็นล้านๆปี 

เม็ดทรายจากดวงจันทร์

และที่ทำให้คุณได้รู้สิ่งใหม่ๆ รวมทั้งประทับใจยังไม่หมดแค่นี้ เพราะดร. แกรี่ กรีนเบิร์ก เคยดูและถ่ายรูปเม็ดฝุ่นจากดวงจันทร์!!! ซึ่งแน่นอน ไม่มีเม็ดทรายบนโลกที่หาดไหนจะมีลักษณะแบบนี้ไปได้ ถ้าเราลองดูลักษณะเม็ดทรายจากดวงจันทร์ คุณจะเห็นว่ามันมีวงแหวนอยู่ด้วย เนื่องจากดวงจันทร์ไม่มีชั้นบรรยากาศ ทำให้อุกกาบาตเล็กๆชนดวงจันท์บ่อยๆ แล้วเวลาที่ชนเนี่ยฝุ่นหรือเม็ดทรายก็จะระเหิดกลายเป็นไอทันที แล้วจะมีการเกาะตัวทำให้เกิดเม็ดทรายในลักษณะนี้ ส่วนจะมีอะไรมากกว่าไปติดตามชมใน TED Talk กันต่อได้เลย

แกรี่ กรีนเบิร์ก (Dr. Gary Greenberg)





และสำหรับคนที่ต้องการดู Subtitle ภาษาไทยด้วยเชิญที่นี้ครับ แกรี่ กรีนเบิร์ก: มองโลกพิศวงระดับนาโน
ขอบคุณรูปภาพและ video ดีๆจาก www.ted.com
Continue Reading...

Wednesday, November 19, 2014

ทำไมต้องอ่านหนังสือดีๆ ให้กำลังใจเป็นประจำ?!?!


คุณเคยไหมครับ เวลาไปเดินเลือกซื้อหนังสือดีๆ ประเภทพัฒนาตัวเองหรือให้กำลังใจ แล้วอยู่ๆเพื่อนข้างๆก็พูดขึ้นมาว่า "จะซื้อไปอ่านทำไมตั้งเยอะ หนังสือพวกนี้มันก็เหมือนๆกันล่ะ เนื้อหาจริงๆเหมือนกันหมด ซื้อไปอ่านมีแต่คนขายจะรวยขึ้น" โอ้โห...ฟังเสร็จ ผมนี้นิ่งเลย...แล้วก็เดินไปจ่ายตังค์ ฮ่าๆๆๆๆๆ

ถ้าจะให้อธิบายง่ายที่สุด สั้นที่สุดว่าทำไมเราควรอ่านหนังสือดีๆ ให้กำลังใจเป็นประจำ ผมขอยกคำพูดนี้เลยครับ

ผู้คนชอบพูดว่าแรงจูงใจอยู่แค่แปปเดียวก็หาย
การอาบน้ำก็เหมือนกัน เราจึงอาบน้ำทุกวัน
Zig Ziglar

ผมว่าประโยคนี้เป็นอะไรที่โดนมาก เพราะว่าเราต้องอาบน้ำทุกวัน วันนึงอย่างน้อยก็ 2 ครั้งกันเข้าไปแล้ว เพื่อตัวเราเองรู้สึกสดชื่น แต่การอ่านหนังสือดีๆเนี่ยกลับน้อยกว่ามาก เลยกลายเป็นว่าทุกวันเราเจอสิ่งต่างๆที่อาจจะทำให้จิตใจเราอ่อนล้า แต่เรากลับไม่ค่อยได้เติมสิ่งดีๆกลับเข้าไปในจิตใจกันเลย และกว่าเราจะรู้สึกตัวกันอีกทีก็ตอนที่หมดแรงใจกันแล้ว


หนังสือเป็นเพื่อนที่เงียบและมั่นคงมากที่สุด 
เป็นที่ปรึกษาที่เข้าถึงได้ง่ายและรอบรู้ที่สุด
และเป็นครูที่อดทนที่สุด
Charles William Eliot - อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด 

เอาล่ะ...วันนี้เราไปอ่านหนังสือดีๆกันครับ ถ้านึกไม่ออกว่าจะอ่านหนังสือเล่มไหนก่อนดี ลองไป หนังสือแนะนำที่นี้ก่อนก็ได้นะครับ
ขอบคุณรูปภาพเด็กๆนั่งอ่านหนังสือจาก Valerie Everett
Continue Reading...

Monday, November 17, 2014

วิธีแสนง่าย ในการวิ่งให้สนุก (แต่หลายคนลืมเลือน)


ในช่วงเวลาที่มองไปทางไหน เราก็สามารถพบเห็นคนก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือกันแม้แต่คนขับรถก็ยังก้มหน้าเล่นตอนรถติด!?!? ก้มหน้าเล่นกันจนคุณแสตมป์ยังแต่งเพลงโอมจงเงย....อืม แต่ยังดีที่ตอนนี้ผมยังไม่เจอใครที่ก้มหน้าเล่นมือถือแล้ววิ่งไปด้วยน่ะ (ไม่นับการวิ่งบนลู่วิ่งน่ะ) แสดงว่าการวิ่งออกกำลังกายนี้ มันเป็นการบังคับให้คุณหยุดเล่นมือถือได้ด้วยน่ะ แต่ทีนี้พอคุณวิ่งไปสักพักในทางเดิมๆ เวลาเดิมๆ เพราะเราว่างแค่ช่วงนี้ ทำอาจจะทำให้คุณเริ่ม"เบื่อที่จะวิ่ง" ก็ได้ เพราะฉะนั้นวันนี้ผมจะเล่าอีกวิธีในการวิ่งให้สนุกครับ ซึ่งคราวที่แล้วผมได้เขียน 5 วิธีง่ายๆที่ทำให้วิ่งสนุกขึ้น แต่วันนี้ผมจะมาบอกเพิ่มอีก 1 วิธีที่ทำให้การวิ่งของคุณไม่น่าเบื่ออีกเลย แต่อาจจะปวดหัวแทน นั่นก็คือ...

ออกไปวิ่งเล่นกับเด็กๆ หรือออกไปวิ่งเล่นกับลูกๆของคุณ
ถ้าคุณเป็นวิ่งไปสักพักแล้วเริ่มรู้สึกว่า "เบื่อที่จะวิ่ง" เพราะวิ่งวันล่ะ 10 รอบ วิ่งจนจะหลับตาวิ่งแล้วอยู่ ทำให้การวิ่งมันไม่น่าตื่นเต้นสำหรับคุณ ผมแนะนำว่า ลองออกไปวิ่งเล่นกับลูกๆดูซิครับ หรือไปวิ่งเล่นกับเด็กๆ อาจจะหลาน หรือลูกของญาติก็ได้ แล้วคุณจะรู้สึกเลยว่า "เหนื่อย Shipหาย" เด็กๆวิ่งเล่นไม่ยอมหยุดเลย แถมเด็กยังไม่ยอมฟังด้วย!!! ถ้ามีถนนใกล้ๆเราต้องระวังรถบ้าง หรือระวังไปขวางทางนักวิ่งคนอื่น หรือวิ่งไปชนชาวบ้าน หรือแม้กระทั่งวิ่งไปใกล้สระน้ำเกินไป เดี๋ยวตกน้ำมาเรื่องใหญ่เลยคราวนี้!!! เราต้องออกแรงวิ่งๆหยุดๆ แล้วตอนที่วิ่งก็อาจจะต้องคุยกับเด็กๆ (อาจจะตะโกนเลยก็ได้ ฮ่าๆๆๆๆ) ซึ่งทำให้เหนื่อยกว่าการวิ่งธรรมดาครับ

ยังไม่เพียงเท่านี้ครับ เพราะคุณจะได้วิ่งไปในบริเวณที่ปกติแล้วเราไม่เคยคิดแม้แต่จะเข้าไปใกล้ เช่น เด็กๆกระโดดเข้าไปในดงดอกไม้!?!? บร๊ะเจ้า ตรูจะโดนด่าไหมเนี่ย เราก็ต้องรีบวิ่งไปบอกเลย ออกมาน่ะ!!! แต่ช้าก่อนครับ ถ้าคุณไปวิ่งเล่นกับเด็กๆมากกว่า 1 คนล่ะก็ ฮ่าๆๆๆๆๆ ผมรับประกันว่า คุณจะลืมความเครียดเรื่องงานไปเลยครับ เพราะมาปวดหัวกันแก๊งเด็กน้อยแทน เพราะหยุดคนนี้ อีกคนก็ไปนุ้นแล้ว นั่นมันใกล้น้ำกลับมาาาาา เดี๋ยวตก แล้วเราก็ต้องวิ่งยิ่งกว่า 4x100 เพื่อไปให้ทันเด็กน้อยใกล้ๆน้ำ  ฮ่าๆๆๆ ถ้าใครเคยพาลูกไปวิ่งเล่นจะเข้าใจความรู้สึกนี้ดี

แต่การวิ่งหลังจากวันนั้นจะเปลี่ยนไป
วันที่พาลูกๆไปวิ่งเล่นก็มีความสุขครับ รวมถึงอาจจะปวดหัวด้วย แต่ว่าผมกล้าพูดเลย เวลาที่ไปวิ่งอีกทีในวันหลัง คุณจะรู้สึกไม่เหมือนเดิม คุณจะคิดถึงช่วงเวลาที่เจ้าตัวน้อยวิ่งซนไปทางไหนที วิ่งซนไปทางนี้ที เด็กๆเขาจะทำให้เรามีความทรงจำใหม่ๆกับทางวิ่งเดิมๆของที่เราเคยวิ่ง (แต่ดีหรือไม่ดี นี้อีกเรื่องน่ะ ฮ่าๆๆๆๆ)

ไปครับ...ออกไปวิ่งเล่นกับลูกๆกันดีกว่าครับ และขอขอบคุณรูปสวยๆสำหรับการวิ่งเล่นอย่างมีชีวิตชีวาของเด็กๆจาก Carissa Rogers
Continue Reading...

Friday, November 14, 2014

หัวใจสำคัญของการวิ่งลดน้ำหนัก



คนเราไม่ค่อยชอบที่อะไรมาคอยจุกจิกกวนใจกันมากนักหรอก แต่บางสิ่งอย่างเช่น ไขมัน! มันกลับเกาะติดไว้ ไม่ค่อยจะยอมออกไปด้วยนะซิ แล้วพอคิดถึงเรื่องการลดน้ำหนักขึ้นมา โดยที่ไม่อยากเสียเงินไปเข้าไปคอร์สอะไรแพงๆด้วยแล้ว การวิ่งเพื่อการลดน้ำหนักเนี่ย จะเป็นตัวเลือกที่สำคัญทันที แต่ทีนี้การวิ่งเพื่อลดน้ำหนักมันมีหัวใจสำคัญ หรือมี Key อะไรบางอย่างอยู่ครับ วันนี้เรามาลองดูกัน

สิ่งสำคัญในการวิ่งเพื่อลดน้ำหนัก
เป้าหมาย
ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของคนเรานั้น มักจะได้มาอย่างยากลำบาก แต่ว่าคนที่ยิ่งใหญ่นั้นก็ไม่ยอมแพ้ต่อความเหนื่อยยาก และอุปสรรค ซึ่งการวิ่งเพื่อเอาเจ้าไขมันส่วนเกินออกเนี่ย สำหรับใครหลายๆคนแล้ว มันเป็นอุปสรรคก้อนใหญ่มาก ดังนั้นเพื่อที่เราจะสามารถก้าวข้ามมันไปได้ เราต้องมีเป้าหมายที่แรงกล้าที่เราต้องไปให้ถึงครับ 

ตัวอย่างเช่น คุณอยากเก็บเงินไปเที่ยวต่างประเทศ เพราะว่าคุณอยากไปดู อยากไปเที่ยว อะไรก็ว่าไป กับอีกเป้าหมายคือ คุณอยากเก็บเงินพาคุณแม่คุณพ่อที่ไม่เคยไปเที่ยวต่างประเทศเลยไปสักครั้ง ตัวอย่างนี้จะเห็นง่ายๆเลยว่า การตั้งเป้าหมายแบบที่สองนั้นมีความมั่นคงในจิตใจมากกว่า เราจะเอาชนะอุปสรรคที่เข้ามาได้ง่ายกว่า ถ้าเราไปตั้งเป้าหมายแบบแรกล่ะก็ แค่ iPhone ออกรุ่นใหม่ แล้วคนรอบข้างใช้กัน ก็ไม่แน่ว่าอุปสรรคแค่นี้ก็อาจจะทำให้เราบอกกับตัวเองว่า "เดี๋ยว ช้าไปอีกสักเดือนก็ไม่เป็นไรน่าาา อยากได้มือถือใหม่แล้ว ฮ่าๆๆๆๆ"

พูดง่ายๆคือ เป้าหมายต้องทรงพลังมากพอ เป้าหมายมันไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ แต่เป้าหมายนั้นมันสามารถเปลี่ยนแปลงโลกของใครบางคนก็พอ และในที่นี้ก็คือ สำหรับตัวคุณเอง ถ้าคุณหาสิ่งที่สำคัญพบจริงๆ คุณจะสามารถไปถึงเป้าหมายได้แน่นอนครับ

การวิ่ง จริงๆแล้วก็คือ การเอาชนะใจตัวเอง
การวิ่งเนี่ยจะมีเสียงเล็กๆในจิตใจค่อยบอกคุณ เหนื่อยแล้วงะ พักก่อนไหม เดินก็ได้ บร๊า บรา.... แต่จริงๆแล้วการวิ่งเพื่อลดน้ำหนักที่ดี เราควรวิ่งต่อเนื่องไม่หยุดเดิน แต่อาจจะวิ่งช้าลงมาหน่อยก็ได้ครับ แล้วค่อยๆเพิ่มระยะวิ่งครับ และสำหรับขั้นตอนง่ายๆในการเพิ่มระยะวิ่ง อ่านได้ที่นี้ครับ ถ้าคุณวิ่งได้ตามระยะที่คุณตั้งเป้าหมายไว้ในแต่ครั้งที่ออกวิ่งล่ะก็ คุณจะค่อยๆมีความมั่นใจและมีความสนุกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆครับ แล้วพอวิ่งไปได้สัก 2 เดือนคุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงได้แน่นอน

วิ่งไปสู่เป้าหมายกันเถอะครับ!!!

Continue Reading...

Thursday, November 13, 2014

3 ขั้นตอนง่ายๆ ในการวิ่งให้ไกลขึ้น


หนึ่งในสิ่งที่นักวิ่งไม่ว่าจะเป็นหน้าใหม่หรือหน้าเก่า(ที่โดนแดดกันจนดำ อิอิ) จะมีคล้ายๆกันก็คือ "ทำไงให้วิ่งได้ไกลขึ้น?", "ทำอย่างไรให้วิ่งได้ระยะทางมากขึ้น?" และนี้ก็เป็นหนึ่งในคำถามของตัวผมเองเหมือนกัน ดังนั้นผมจะมาแชร์ให้ฟังว่ามีขั้นตอนเป็นอย่างไร

เทคนิคการวิ่งให้ได้ระยะทางมากขึ้น
ขั้นตอนแรก - รู้จักตัวเอง
อันนี้สำคัญมาก เพราะว่า เราต้องรู้จักตัวเองว่า Limit ของเราอยู่ที่ไหน แล้วเราจะได้กำหนดเป้าหมายได้ถูกต้อง และจะทำคุณมีกำลังใจมากขึ้นเวลาที่สามารถเอาชนะ limit ตัวเองไปได้ วิธีการง่ายๆ ก็คือ ลองวิ่งดูก่อนว่า ถ้าวิ่งความเร็วกลางๆ ไม่เร่งจนเกินไป และไม่ช้าจนเกินไป เราจะสามารถวิ่งไปได้นานแค่ไหน โดยที่ไม่หยุด! และไม่ให้เดินด้วย ต้องวิ่งครับ!!! ต้องวิ่งไปเรื่อยๆโดนที่ไม่หยุด ยกตัวอย่างง่ายๆ วิ่งสัปดาห์แรก คุณลองทดสอบดูแล้วอาจจะเจอว่า วิ่งไปได้ ? กิโล โดยที่ไม่หยุดเลย ในเวลา xx นาที

ขั้นตอนที่สอง - สังเกตุอาการ
หลังจากที่เรารู้แล้วเราสามารถวิ่งได้เท่านี้กิโลภายในเวลา xx นาที เราควรที่จะวิ่งให้ได้เท่าเดิมไปก่อน ในอาทิตย์แรก เพราะถ้าคุณวิ่งทุกวัน โดยวิ่งให้ได้เท่ากับ limit ของตัวคุณเอง สิ่งที่นักวิ่งหน้าใหม่ มักจะเจอกัน คือ อาการเจ็บปวดตามส่วนต่างๆ

ทีนี้เราต้องสังเกตุอาการเจ็บปวดกันก่อนครับ ว่าเจ็บบริเวณไหน เช่น
ปวดต้นขา คันๆต้นขา อาการแบบนี้ อาจจะเกิดมาจากการที่เรายังยืดเส้นไม่ดีพอและไม่มากพอ ก่อนที่จะเริ่มออกวิ่ง ดังนั้นเราสามารถแก้ไขได้ด้วยยืดเส้นทั้งก่อนและหลังวิ่งให้ดีๆครับ วิธีง่ายๆก็อาจจะเพิ่มเวลาในการยืดเส้นอีก 10 นาที และอาจจะต้องเพิ่มท่าในการยืดเส้นด้วย

ปวดหลัง อาการโดยส่วนมากมักเกิดจากการยืดกล้ามเนื้อยังไม่ดีพอครับ ก็ต้องใช้ท่ายืดบริเวณลำตัวเยอะหน่อย อาจจะเป็นก้มไปแตะปลายเท้าก็ดีครับ

ปวดเข่า การบาดเจ็บเป็นไปได้หลายสาเหตุ อาจจะเกิดจากการลงน้ำหนักเท้าผิดท่า หรือ ยกขาสูงมากไปตอนที่วิ่งทำให้กระแทกแรง ก็ต้องดูว่าเกิดจากอะไร ถ้าเราสามารถแก้ไขที่ต้นเหตุได้แล้ว เราก็จะสามารถวิ่งได้ไกลขึ้นครับ โดยปกติแล้วการนักวิ่งส่วนมากจะลงน้ำหนักกันผิดก็คือ ตอนที่เหนื่อย!!! ดังนั้นถ้าเราสามารถสังเกตุอาการตอนที่เหนื่อยแล้วพยายามปรับให้ท่าวิ่งถูกต้องในตอนที่เหนื่อยจะทำให้เราวิ่งได้ไกลขึ้น แถมยังสนุกกับการวิ่งด้วยน่ะครับ

*การวิ่งแล้วต้องยกขาสูง จริงๆจะต้องทำเมื่อคุณไปวิ่งในที่ๆทางวิ่งมันไม่เรียบ ถ้ายกขาไม่สูงเนี่ยอาจจะสะดุดกันได้ง่ายๆ ดังนั้น ถ้าทางที่คุณวิ่งประจำ มันไม่เรียบตลอดทั้งเส้นทาง แนะนำว่าเปลี่ยนเส้นทางที่วิ่งครับ


ขั้นตอนสุดท้าย คือ ฝึก ฝึก ฝึกและก็ฝึก
ฮ่าๆๆๆๆ อยากจะบอกว่า การวิ่งให้ได้ระยะทางเพิ่ม มันไม่มีทางลัดครับ คือเราก็ต้องฝึกฝน ให้ร่างกายเราสร้างความอึดขึ้นมา โดยการเพิ่งระยะนั้นปกติจะค่อยๆเพิ่ม ประมาณอาทิตย์ล่ะ 10% นั่นหมายความว่า คุณจะมีระยะทางวิ่งเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายใน 8 สัปดาห์ หรือ 2 เดือน

แต่จากประสบการณ์ของผมเองในตอนที่เพิ่งเริ่มวิ่ง แนะนำว่า เดือนแรกวิ่งให้เท่า limit ของตัวเองทุกวันก่อนก็พอแล้วครับ เพื่อร่างกายได้ปรับตัวสำหรับการวิ่งก่อน จะทำให้อาการเจ็บต่างๆลดลงอย่างเห็นได้ชัด หลังจากนั้นค่อยๆเพิ่มระยะที่วิ่งสัปดาห์ล่ะ 10% ก็ได้ครับ

ในการฝึก 1 สัปดาห์ ควรมีวันพัก 1 วัน
เพราะว่าเราต้องการให้ร่างกายได้พักผ่อนกันบ้าง ดังนั้นในวันที่พักจากการวิ่ง เราก็สามารถไปออกกำลังกายอย่างอื่นแทนได้ หรืออาจจะยืดเส้น ยืดสาย ไปเล่นโยคะ เพื่อให้ร่างกายได้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อครับ

Photo: Tomás Fano / (CC BY-SA 2.0)
Continue Reading...

Tuesday, November 11, 2014

5 วิธีง่ายๆที่ทำให้ สนุกกับการวิ่ง



หลายๆคนพอเริ่มวิ่งมาสักพักนึง อาจจะเริ่มรู้สึกเบื่อกับการวิ่ง รู้สึกไม่มีแรงผลักดันหรือแรงดันบาลใจในการออกไปวิ่ง...บางคนจะออกไปวิ่งนี้ก็ต้องการแรงบันดาลใจนะครับบบบบ ฮ่าๆๆๆๆๆ เอาล่ะงั้นวันนี้เรามาลองดูกันว่าดีกว่า เราจะมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้การวิ่งของเราสนุกมากขึ้นครับ


5 วิธีง่ายๆที่ทำให้การวิ่งของคุณสนุกขึ้น
ฟังเพลง
ฟังเพลงไปวิ่งไป - อันนี้คุณก็ใส่หูฟังแล้วจะฟังจากมือถือ หรือ MP3 player ก็ได้ แล้วคุณจะไปหาสายรัดต้นแขนหรือถือไว้ในมือก็ได้นะครับ แล้วเราก็เลือกเพลงที่มีจังหวะมันส์ๆ มาฟังวิ่งไปก็สนุกดี แต่ช้าก่อน ผมแนะนำว่า การฟังเพลงไปวิ่งไปเหมาะกับสถานที่ที่ปลอดภัยนะครับ เช่น วิ่งที่สวนลุมฯ หรือสวนหลวง ร. 9 ที่ที่ไม่มีรถวิ่งไปวิ่งมา และค่อนข้างปลอดภัยครับ ถ้าคุณวิ่งในหมู่บ้านต้องใช้ควรระมัดระวังตัวด้วยนะครับ ทั้งระวังรถเข้า-ออก และทรัพย์สินมีค่าครับ

ฟังเพลงก่อนวิ่ง - โดยส่วนตัวแล้วผมชอบใช้วิธีนี้ครับ คือ ผมจะฟังเพลงตอนที่ยืดเส้น-ยืดสายก่อน พอพร้อมแล้วก็ออกวิ่งโดยที่ไม่มีมือถือ หรือสิ่งใดๆติดตัวครับ แล้วคุณคงเคยมีประสบการณ์ใช้ไหมครับ ที่รู้สึกเหมือนเพลงมันติดอยู่ในหัว...ประมาณนั้นล่ะครับ วิ่งไปฮัมเพลงไป สนุกดีเหมือนกันนะครับ


วิ่งเปลี่ยนความเร็ว
ถ้าคุณวิ่งที่เดิมๆ โดยใช้ความเร็วเดิมๆ ผมเองก็เป็นครับ บอกเลยว่า เบื่อ!!! หลายครั้งก็ต้องเปลี่ยนความเร็วกันบ้าง วิธีง่ายๆ แต่ได้ผลคือ ถ้าคุณวิ่งในตอนเย็น มันจะมีช่วงที่โดนแดดมาก กับบางช่วงที่มีร่มไม้ สักระยะนึง ตอนที่โดนแดดเราก็วิ่งเร็วๆ พอที่ร่มเราก็ผ่อนความเร็ว ให้ร่างกายได้พัก โดยการวิ่งช้าๆ วิ่งแบบนี้ก็สนุกดีครับ แล้วอาจจะดำน้อยลง วิ่งแบบนี้ผมเรียกว่า วิ่งหลบแดด ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ


เปลี่ยนทิศวิ่ง หรือเปลี่ยนที่วิ่ง
เปลี่ยนทิศวิ่ง - ถ้าที่ที่คุณวิ่ง เขาไม่ได้บังคับว่าต้องวิ่งทิศนี้เท่านั้น แค่คุณลองเปลี่ยนทิศวิ่งดูแค่นี้ก็สนุกได้แล้วครับ แล้วคุณอาจจะรู้สึกแปลกใจบ้างว่า เอ๊ะ ทำไมไม่เคยเห็นตรงนี้ทั้งๆที่วิ่งผ่านทุกวัน

เปลี่ยนที่วิ่ง - อันนี้ผมแนะนำให้ดูเรื่องความปลอดภัยไว้ก่อนนะครับ ถ้าเราไปตามหมู่บ้านหรือที่อื่นๆ เราต้องดูเรื่องความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นรถที่จะเข้า-ออก หรือบริเวณไหนที่มีหมาชอบไล่กัด แต่รับรองเลยครับ แค่เปลี่ยนที่วิ่ง คุณจะตื่นตัวขึ้นอีกเยอะครับ


ไม่ต้องใส่นาฬิกา ไม่ต้องจับเวลา
ถ้าคุณเป็นคนที่วิ่งแล้ว มีการจับเวลาว่าต้องวิ่งให้ได้ 30 นาที หรือวิ่งให้ได้ 5 kmภายใน xx นาที แบบนี้ทำไปสัก 1 - 2 เดือนอาจจะเริ่มเบื่อได้ ดังนั้นบางวันเราไม่ต้องสนใจเวลาเลยก็ได้ครับ เราแค่ไปสนุกกับการวิ่งเท่านั้น ก็เพียงพอแล้ว และบางทีคุณอาจจะแปลกว่า โอ้วันนี้วิ่งได้ระยะมากกว่าทุกวันอีกนะครับ ลองดูครับ

ยืดเส้น-ยืดสายให้นานขึ้น
อันนี้สำหรับคนที่ยืดเส้นแปปเดียวก็ออกวิ่งแล้ว แรกๆผมก็เป็นเหมือนกัน คือ ยืดเส้นไม่ถึง 5 นาที ไปวิ่งล่ะ พอวิ่งไปสัก 5 km ขึ้นมันจะไม่สนุกแล้วจิ มันจะเริ่มเจ็บกล้ามเนื้อ คันตรงนุ่น คันตรงนี้ พอลองยืดเส้นให้นานขึ้น การวิ่งระยะไกลๆ ก็สนุกขึ้นได้ครับ ถ้าใครที่ยืดเส้นไม่ค่อยนาน ลองทำดูได้เลยครับ แล้วคุณอาจจะสนุกกับการวิ่งมากขึ้น

ขอให้คุณสนุกกับการวิ่งของคุณมากขึ้นน่ะครับ วิ่งให้สนุกเหมือนเด็กๆ บางทีคนที่โตแล้วอาจจะคิดอะไรมากเกินไปก็ได้ เราไปวิ่งเล่นแบบเด็กๆกันเถอะ วิ่งไปจนกว่าจะหมดแรงครับ ขอบคุณครับ
**รูปเด็กๆที่สนุกกับการวิ่งสวยๆจาก Wikimedia / Creative Commons**
Continue Reading...

Sunday, November 9, 2014

ตื่นมาวิ่งตอนเช้า มีข้อดีมากกว่าที่คุณคิด


ถ้าคุณเป็นคนนอนตื่นสายหรือสายมากจนไปถึงเที่ยง!!! ผมมีข่าวดีมาบอกครับ..."คุณเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้!!!" และการที่เราจะตื่นขึ้นมาวิ่งในตอนเช้านั้น มันมีข้อดีมากกว่าที่คุณอาจจะเคยคิดไว้ ดังนั้นวันนี้เรามาลองดูกันดีกว่าครับ ว่าถ้าเราขุดตัวเองขึ้นมาวิ่งในตอนเช้าเนี่ยจะมีประโยชน์อะไรบ้าง

ข้อดีและประโยชน์ของการวิ่งตอนเช้า
เผาผลาญไขมันได้ดีกว่าการวิ่งในช่วงเวลาอื่นๆ
อันนี้มีการวิจัยในต่างประเทศแล้วครับว่า การที่ออกกำลังกายในตอนเช้าๆจะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานหรือ Burn fat ได้ดีกว่าในช่วงเวลาอื่นๆ  โดยในงานวิจัยนี้เป็นของ British Journal of Nutrition พบจะการออกกำลังกายในตอนเช้าก่อนทานข้าวเช้าจะทำให้เผาผลาญไขมันได้มากกว่า 20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาอื่น อันนี้งานวิจัยชิ้นแรกที่ผมเจอว่ากล้าพูดเลยว่าให้ ออกกำลังในตอนเช้าก่อนรับประทานอาหารเช้า!?!? แต่โดยส่วนตัวผมแล้วต้องดื่มนมสักแก้วหรือสักกล่องก่อน แล้วเริ่มยึดเส้น-ยึดสาย แล้วจึงเริ่มออกวิ่งครับ ฮ่าๆๆๆๆๆ

สำหรับข้อมูลในภาษาอังกฤษเพิ่มเติมสำหรับงานวิจัย การออกกำลังกายตอนท้องว่างในตอนเช้าจะทำให้เผาผลาญไขมันได้เพิ่มขึ้น 20% อ่านต่อได้ที่นี้ครับ


อากาศบริสุทธิ์
ถึงแม้ว่าในเมืองใหญ่ๆเดี๋ยวนี้จะมีอากาศที่มีมลพิษค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าคุณตื่นมาในตอนเช้าๆ(ตี 5) เพื่อมาวิ่ง คุณจะก็เจออากาศบริสุทธิ์กันได้ไม่ยากครับ และถ้าคุณไปวิ่งในสวนสาธารณะด้วยแล้วล่ะก็ คุณจะได้สูบอากาศดีๆกันทุกๆวันที่คุณได้ออกมาวิ่งด้วยครับ


มีความมุ่งมั่น
ในวินาทีที่คุณลุกขึ้นมา แล้วก้าวเท้าออกไปวิ่งในตอนเช้าตรู่นั้น มันก่อให้เกิดความแตกต่างเป็นอย่างยิ่งกับคนส่วนมากที่เขายังนอนอยู่ในผ้าห่ม มันต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้ตัวคุณเองตัดสินใจทำแบบนั้น เพราะคุณอาจจะต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 หรือบางคนอาจจะเป็นตี 4 กว่าๆ!!! มีแต่ตัวคุณเองเท่านั้นที่จะเข้าใจความรู้สึกถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้านี้

สัมผัสความสงบ
ถ้าคุณเคยวิ่งในตอนเช้ามากๆในหมู่บ้าน คุณจะได้ยินแค่เสียงที่คุณหายใจและเสียงจากการรองเท้าของคุณสัมผัสพื้นเป็นหลักเลย คุณอาจจะได้ยินเสียงนกร้องในตอนเช้า เสียงลมพัดแล้วต้นไม้ไหว มันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ใครหลายคนได้คุยกับตัวเองท่ามกลางความสงบนี้ แต่หลายทีผมก็เจอเสียงหมาเห่าไล่!!! ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

พระอาทิตย์ขึ้น ต้อนรับวันใหม่
หลายครั้งผมต้องออกจากบ้านในตอนที่แสงไฟบนท้องถนนยังเปิดอยู่ ต้องวิ่งไปในความมืด มีเพียงแสงจากเสาไฟที่ช่วยให้ผมมองเห็นทาง แต่ยิ่งวิ่งไปมากขึ้น แสงจากท้องฟ้าก็เริ่มส่องมา และเมื่อผมวิ่งจนถึงจุดที่สิ้นสุดหรือครบระยะ พระอาทิตย์ก็ขึ้นมาต้อนรับเราแล้ว มันให้อารมณ์และความรู้สึกที่ดีมากๆในการเริ่มต้นวันใหม่

ทานข้าวเช้าได้อร่อยมากขึ้น
หลังจากที่ไปวิ่งมาในตอนเช้านั้น มื้อเช้าของวันนั้นจะกินข้าวเช้าอร่อยมากกกกก และเยอะด้วย ฮ่าๆๆๆๆ หรือเพราะว่าหิวก็ไม่รู้ แต่อันนี้ผมถือว่าเป็นข้อดีแล้วกันนะครับ


ขอบคุณมากเลยครับที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ เอาล่ะ วันนี้เตรียมตัวนอนเร็วขึ้นไหมครับ เพื่อที่ว่าพรุ่งนี้เช้าเราออกไปวิ่งกัน และไม่ว่าคุณจะวิ่งช้าหรือวิ่งเร็ว วิ่งระยะใกล้หรือวิ่งทางไกล ผมว่าแค่เราออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ในตอนเช้า ได้สัมผัสกับธรรมชาติมากขึ้น มันก็ทำให้เรามีความสุขในชีวิตมากขึ้นแล้วครับ

Photo: Phil Roeder / Creative Commons
Continue Reading...

Friday, November 7, 2014

ประโยชน์ของการวิ่ง มีดีมากกว่าความฟิต


ในช่วงเวลายุคสมัยที่อุปกรณ์กีฬาหรือกาแฟสักแก้วมีราคาแพงมากขึ้น แต่การวิ่งสำหรับผมแล้ว ยังคงเป็นกีฬาที่เรียบง่าย ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เพิ่มเติม แค่ใส่ชุดแล้วก็สวมรองเท้า เราก็พร้อมจะออกวิ่งแล้ว การวิ่งเป็นอะไรที่เรียบง่ายมาก แถมยังประหยัดอีกด้วย ดังนั้นผมจึงอยากจะเขียนถึงประโยชน์ของการวิ่ง เผื่อว่าจะทำให้ใครออกไปวิ่งได้บ้าง

ประโยชน์ของการวิ่ง
คลายเครียดได้
ถ้าคุณลองออกวิ่งดู ถึงแม้ว่าจะยังคงคิดมากเรื่องงาน เรื่องเพื่อน หรือเรื่องอะไรก็ตาม ผมอยากให้คุณวิ่งไปอย่างน้อย 15 นาที วิ่งนะไม่ให้เดิน มันจะเป็นไปได้แค่ไม่กี่อย่างแล้วล่ะ นั่นคือ คุณเริ่มเหนื่อยและหมดแรง ตอนนี้คุณจะไม่ค่อยได้คิดเรื่องที่ทำให้กังวลแล้ว จะเริ่มคิดว่าแล้วว่า...จะหยุดดีไหม ฮ่าๆๆๆๆ หรือสอง เรื่องที่คุณกำลังคิดมันซีเรียสมาก คุณไม่สามารถปล่อยวางได้ แต่ในขณะเดียวกันคุณก็ลืมคิดว่าคุณเหนื่อย!!! ลืมจริงๆ ไม่ได้ล้อเล่น สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คุณจะวิ่งไปได้มากกว่าที่คุณคิด พอคุณรู้ตัวอีกทีคุณอาจจะวิ่งได้มากกว่าที่ตั้งใจไว้ 2 เท่าเลยก็ได้ พอถึงตอนนี้ถ้าคุณยังคงเครียดอยู่ ผมว่ามันก็น่าจะลดลงไปได้เยอะแล้วล่ะครับ ถ้ายังไม่ลดระดับความเครียดเลย แสดงว่า ยังวิ่งไม่พอ หรือออกแรงไม่เยอะมากพอครับ 

รู้จักตัวเอง
การวิ่งเนี่ย ก็เหมือนการออกกำลังกายแบบอื่นๆ คือ ต้องให้ผ่านไปสัก 15 นาทีขึ้นไปก่อน พอถึงจุดๆนึงเราจะเริ่มเหนื่อย แล้วตอนนี้ล่ะครับที่เราจะได้เริ่มรู้จักตัวเอง บางทีเหนื่อยนิดเดียว หรือเริ่มเจ็บขานิดนึงก็จะหยุดล่ะ หรือแค่คันๆขา ก็หยุดเลย ไม่ยอมวิ่งต่อทั้งๆที่ความจริงแล้ว อาการเหล่านี้ไม่ได้เป็นอันตรายเลย แต่เราไม่ยอมสู้ต่อไปเอง ซึ่งการวิ่งมันจะเห็นเป็นรูปธรรมเลย เราได้แค่ x km เองน่ะ ทั้งๆที่ตอนแรกตั้งเป้าหมายว่า 5 km เป็นต้น แต่การทำงานในชีวิตจริงน่ะ มันอาจจะไม่เห็นเป็นรูปธรรมทุกๆวันก็ได้ แต่เราก็ยอมแพ้ปัญหาในที่ทำงานก่อน ดังนั้นการที่ออกมาวิ่งเนี่ย คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองครับ

มีความมั่นใจเพิ่มขึ้น ไม่กลัวปัญหา
อันนี้เป็นผลต่อเนื่องมาจาก การวิ่งแล้วเริ่มรู้จักตัวเอง พอเรารู้แล้วว่าเราชอบยอมแพ้อะไรเร็วเกินไป เราก็จะปรับปรุงและพัฒนา ซึ่งมันมาจากการตัดสินใจของตัวเราเอง ไม่ได้มีใครมาบังคับอะไรทั้งสิ้น เราจะเริ่มตั้งเป้าหมายว่า วันนี้ต้องวิ่งให้ได้ 5 km จะเร็วจะช้า ก็ไม่หยุดแต่ต้องให้ถึง พอคุณทำแบบนี้ไปสัก 1 เดือน ผมรับรองว่าชีวิตเปลี่ยนครับ 

มีความสุข
อันนี้มีผลทั้งจากร่างกายและจิตใจ ทางด้านร่างกายนั้นมีการศึกษามานานแล้วว่า หลังจากการออกกำลังกาย ร่างกายจะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งทำให้รู้สึกฟินหรือมีความสุขนั่นเอง ส่วนทางด้านจิตใจ คือ เราเอาชนะและพิชิตเป้าหมายที่เราตั้งไว้ได้ในการวิ่งสำหรับวันนี้ แม้มันจะไม่ได้เป้าหมายยิ่งใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ แต่มันก็จะค่อยๆเปลี่ยนแปลงตัวเราครับ :)

หุ่นสวย เพรียวลม
อันนี้ต้องได้อยู่แล้วครับ ถ้าคุณวิ่งวันละ 5 km ขึ้นไป วิ่งน่ะไม่ใช่เดินให้ครบ ผมเคยได้ยินบางคนบ่นว่าทำไมวิ่งเยอะแล้วยังอ้วน อืมมมม อันนั้นผมว่าไปเดินอะป่าว หรือวิ่งแค่ 1 km แล้วที่เหลือเดิน ฮ่าๆๆๆๆๆ ตอนแรกๆผมเองก็คิดว่า การวิ่งเนี่ยคงจะได้กล้ามเนื้อแค่ช่วงขาล่ะมั้ง แต่พอวิ่งจริงวิ่งจัง คือ วิ่งทุกวัน ฝนตกก็ออกไปวิ่ง!!! หลายคนคงมองว่าผมเพี้ยนๆ ฮ่าๆๆๆๆ มันได้กล้ามเนื้อส่วนอื่นด้วยนะ ลองวิ่งดูครับ

เอาล่ะ ปิดจอมือถือหรือคอม หยุดอ่าน...แล้วไปวิ่งกันเถอะ!
ขอบคุณรูปภาพจาก Steve Garner  / Creative Commons
Continue Reading...

Wednesday, November 5, 2014

กำลังใจและข้อคิดเตือนสติจาก คำที่แปลว่ารัก โดยวินทร์ เลียววาริณ


ถ้าหากว่าการวัดว่าหนังสือสักเล่มจะดีหรือไม่ดีนั้น โดยใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ผมว่า"หนังสือของวินทร์ เลียววาริณ"จัดว่าดีมากเลยครับ อย่างวันนี้ผมได้กลับมาอ่านหนังสือ คำที่แปลว่ารัก ซึ่งเป็นหนังสือในชุดเสริมกำลังใจ แต่สิ่งที่ผมจะมาเล่าในวันนี้คือ ข้อคิดดีๆที่ช่วยเตือนสติครับ

บิล กรอส(Bill Gross)
ในแวดวงการเงินของอเมริกานั้น หลังจากการทำการสำรวจแล้วพบว่าบิล กรอส ถูกยกย่องว่ามีความสามารถในการคาดการณ์และวิเคราะห์สภาพทางการเงินของตลาดโลกได้แม่นยำมาก โดยเป็นรองแค่ท่านเทพ วอเร็น บัฟเฟตต์ เท่านั้นครับ โดยคุณบิล กรอสนั้นดูแลกองทุนตราสารหนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใหญ่แค่ไหนน่ะเหรอ ก็แค่ หกล้านล้านบาทเท่านั้นเอง!!! ซึ่งมากกว่างบรายจ่ายประจำปีของประเทศไทยอีกครับ ฮ่าๆๆๆๆๆ ซึ่งคุณบิล กรอสเคยกล่าวไว้ว่า ความสำเร็จที่มีนั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากประสบการณ์ที่เคยผ่านมาด้วย

ตอนที่ยังเป็นหนุ่ม เขาเคยไปพักผ่อนที่รีสอร์ทซึ่งมีโต๊ะพนันด้วย แล้วในตอนนั้นบิลมีเงินอยู่ 50 เหรียญ แล้วอยากดูฝีมือการพนันว่าเป็นอย่างไร โดยไปที่โต๊ะแบล็คแจ๊ค ผลคือ เงินหายไปทั้งหมดภายใน 5 นาที บิลพบว่าการหาเงินโดยการเสี่ยงแบบนี้ไม่ทำให้เขารวยได้ เพราะเขาไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ นี้เป็นบทเรียนที่หนึ่ง

ต่อมาบิลได้ประสบอุบัติเหตุจนกะโหลกร้าว ทำให้ต้องนอนพักฟื้นหลายเดือน และช่วงเวลานั้นเขาได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการนับไพ่เพื่อเอาชนะเจ้ามือแบล็คแจ็คให้ได้ ซึ่งต้องเรียกได้เลยว่าอ่านในระดับ หมกมุ่น เพื่อเล่นให้ชนะแบล็คแจ็ค และในปี 1965 เขาก็กลับสู่สนาม เอ๊ย.,,กลับไปที่โต๊ะแบล็คแจ็คอีกครั้ง และทุ่มเทอย่างหนัก เขาเล่นวันละ 16 ชั่วโมง นาน 4 เดือน บร๊ะเจ้า...จากเงิน 200 เหรียญกลายเป็น 10,000 เหรียญ ซึ่งใน 1965 ถือว่าไม่น้อยเลยนะ แต่เมื่อบิล กรอสกลับมานั่งคำนวณกลับพบว่า ด้วยชั่วโมงทำงานที่หนักขนาดนี้ เขากลับได้เฉลี่ยชั่วโมงล่ะ 5 เหรียญเท่านั้น นี้มันน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำของแรงงานในตอนนั้นอีก!!!  นี้เป็นบทเรียนที่สอง


เรื่องที่ผมเล่าได้ข้างต้น ผมนำมาจากบท The Big Picture ที่คุณวินทร์ เลียววาริณได้เขียนไว้ครับ คือ เรื่องนี้มันโดนใจผมมาก ตรงที่คนส่วนมากน่ะเรียนรู้จากความผิดพลาดอยู่แล้ว แค่น้อยคนนักที่จะเรียนรู้จากความสำเร็จด้วยเช่นกัน ทำให้คนส่วนมากเลยพอสำเร็จแล้วก็ทำแบบเดิมๆ เพราะคิดว่าแบบนี้ล่ะจะสำเร็จ เลยเดินย่ำรอยเดิมไป แต่กว่าจะรู้ตัว พวกเขาก็อาจจะต้องล้มเหลวเพราะประสบการณ์ของชัยชนะอย่างไม่น่าเชื่อ!!! เรื่องนี้เราเห็นในโลกธุรกิจได้บ่อยครั้งไป

สิ่งที่ผมคิดและอยากฝากไว้ก็คือ 
"สิ่งที่สำคัญกว่าชัยชนะก็คือความไม่ประมาท ความไม่ยินดียินร้ายเกินเหตุ โดยเฉพาะคนที่ชนะบ่อยๆ"

Continue Reading...

Monday, November 3, 2014

คุณต้องมีเป้าหมายในชีวิต ถ้าไม่อยากหลงทางในชีวิต รวมถึงหลงป่า?!?!



เรื่องการตั้งเป้าหมายในชีวิต มีหนังสือหลายเล่มมากที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องการตั้งเป้าหมาย และความสำคัญของการตั้งเป้าหมาย แต่มีเรื่องเล่าเรื่องนึงที่ผมยังคงจำได้และประทับใจจนถึงทุกวันนี้ ผมสามารถจำเรื่องราวที่ผู้เขียนเล่าได้ แต่ผมกลับจำไม่ได้ว่าอ่านมาจากเล่มไหน ฮ่าๆๆๆๆๆ ต้องอภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

ความสำคัญของการตั้งเป้าหมาย
ถ้าชีวิตคือ การเดินทาง แสดงมันก็ต้องมีเป้าหมายหรือจุดหมาย แล้วทีนี้การตั้งเป้าหมายในชีวิตเนี่ย โดยส่วนใหญ่แล้วคนส่วนมากเลยไม่ค่อยจะทำกัน ทำให้บริษัทใหญ่ๆคิด Process ออกมาเลยว่า ทุกๆปีนะ พนักงานต้องไปคุยกันหัวหน้าแล้วต้องตั้งเป้าหมายว่า ภาย 3 - 5 ปี คุณต้องการไปถึงจุดไหน ต้องการพัฒนา skill ด้านอะไร ซึ่งเป้าหมายที่คุณจะตั้งนั้น ก็ควรได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย คือ บริษัทได้ประโยชน์จาก skill ของคุณ และคุณเองก็ได้พัฒนาตัวเองด้วย อืม...ฟังดูดี

คำถามเลยกลับมาที่ว่า สรุปแล้วนี้มันคือ เป้าหมายในชีวิตของคุณที่ต้องการมันจริงๆ? หรือมันเป็นแค่จุดหมายที่คุณต้องตั้งขึ้นมาเพื่อให้ทำงานในบริษัทนั้นต่อไปได้ (ในหนังสือเท่าที่จำได้ เขาจะย้ำประโยคว่า Do you really WANT them?)

เป้าหมายมันสำคัญในทุกการเดินทาง
คราวนี้ก็มาถึงเรื่องราวที่ผมประทับ ผู้เขียนเล่าให้ฟังต่อว่า เป้าหมายนั้นสำคัญมากๆ มากที่สุด มากจริงๆ แม้กระทั่งตอนที่คุณหลงป่า!!! มันไม่เกี่ยวว่าคุณมีหรือไม่มีแผนที่ เพราะสิ่งแรกๆที่คนเดินป่า ควรที่จะทำตอนที่คิดจะออกเดินทาง คือ ตั้งเป้าหมายหรือกำหนดจุดหมาย!!! เพราะสาเหตุที่คนส่วนมากหลงป่าเนี่ย ก็เพราะว่าไม่มีจุดหมาย และจุดหมายไม่จำเป็นต้องเป็นทางออก เพราะเราสามารถตั้งเป้าหมายแรกว่า ไปที่ยอดเขา หรือที่เนินลูกนั้น เพื่อที่ได้เห็นป่าในภาพรวมก็ได้ เช่น เห็นแล้วว่ามีแม่น้ำอยู่ แบบนี้เราก็ควรไปที่แม่น้ำก่อน เพราะว่ามีน้ำ มีปลา ไม่อดตาย เป็นต้น

การที่คนหลงป่าที่เพราะว่า เขาเดินทางแบบไม่มีจุดหมาย และพอเหนื่อยคนส่วนมากจะค่อยๆเดินเบี่ยงไปด้านที่ไม่ถนัด เช่น คุณเป็นคนถนัดขาขวา พอเหนื่อยมากๆแล้วคุณจะออกแรงขาขวามากกว่าขาซ้าย และตอนที่เจอต้นไม้ขวางด้านหน้า คนส่วนมากจะมีแนวโน้มว่า จะเดินไปด้านซ้ายมากกว่า(ในกรณีที่ถนัดขวานะครับ) เพราะใช้แขนและขาข้างที่ถนัดในการออกแรง ทำให้ค่อยๆเดินไปด้านที่ไม่ถนัด พอเดินไปเรื่อยๆ ก็เลยเดินเป็นวงกลม!!!

เพราะเราไม่มีแผนที่ในชีวิตจริง
พอเล่าเรื่องนี้จบผู้เขียนก็สรุปเลยฟังเลยว่า มันไม่เกี่ยวกับการมีหรือไม่มีแผนที่หรอก เพราะว่าต่อให้คุณมีแผนที่ ขั้นแรกคุณก็ต้องหาให้ได้ก่อนว่า คุณอยู่ตรงไหนของแผนที่แล้ว จริงไหม? แล้วในชีวิตจริงน่ะ เราก็ไม่มีแผนที่ชีวิตกันหรอก หลายๆครั้งเราต้องกำหนดเป้าหมายในการเดินทางเพียงเพื่อขึ้นไปดูว่า เราอยู่ตรงไหนกันแน่ในแผนที่ แล้วต้องการจะไปทางไหนต่อ ซึ่งหลายๆครั้งมันอาจจะต้องเดินย้อนกลับไปกลับมา แต่มันเป็นการเดินทางอย่างมีเป้าหมาย มีความมุ่งมั่น และมั่นใจว่าไม่ได้หลงทางอยู่ ดังนั้นความเร็วในการเดินทางมันจะผิดกัน....

ขอบคุณครับ
**รูปทางเส้นในป่าสวยจาก Wikipedia / Creative Commons**
Continue Reading...

Followers

Tags