HeaderAd

Thursday, October 30, 2014

โชค คือการเตรียมพร้อมพบกับโอกาส! แต่เราต้องรอนานแค่ไหน???




"โชค คือการเตรียมพร้อมพบกับโอกาส" ประโยคนี้ผมไม่ได้คิดเองครับ แต่เคยอ่านและได้ยินบ่อยมาก เลยไปค้นมาก็เลยทราบว่า มาจากประโยคของคุณ Seneca

“Luck is what happens when preparation meets opportunity.”

ซึ่งผมก็เกิดความสงสัยว่า "การเตรียมพร้อม" เนื่ยต้องรอนานแค่ไหน? จนกระทั่งวันนึงก็ได้คำตอบของคำถามนี้จากก่อไผ่ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ (จริงๆ คือไปอ่านหนังสือมาครับ แล้วผู้เขียนเล่าให้ฟังถึงต้นไผ่)

ต้นไผ่
ต้นไผ่ถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในต้นไม้ที่โตเร็วที่สุดในโลก เร็วขนาดไหนนะเหรอ เคยมีการบันทึกไว้ว่าสูงขึ้น 250 เซนติเมตร หรือ 98 นิ้วใน 24 ชั่วโมง!!! ครับ...พิมพ์ไม่ผิดครับ 2.5 เมตรใน 1 วัน เร็วขนาดนั้นเลย แต่ผมจำไม่ได้ว่าเป็นพันธ์อะไรนะ เพราะต้นไผ่มีหลายสายพันธ์มากๆ รายละเอียดไปหาอ่านต่อได้ในหนังสือ "Farrelly, David (1984). The Book of Bamboo"

มันเกี่ยวอะไรกับโชค
ตอนที่ผมอ่านก็คิดเลย แล้วมันเกี่ยวกับโชคอย่างไง ผู้เขียนก็เล่าต่อว่า การที่ต้นไผ่จะสูงได้เร็วขนาดนี้เนี่ย มันไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆนะ เพราะต้นไผ่เองก็ต้องมีการ "เตรียมตัว" และหลังจากที่เตรียมตัวเสร็จแล้ว ก็ยังมีอีกหลายปัจจัยมากก่อนที่จะโตได้ เพราะมันเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมและธรรมชาติ ซึ่งต้นไผ่เองก็ควบคุมไม่ได้ ต้องรอโอกาสมาถึงเท่านั้น

การเตรียมพร้อมของต้นไผ่
ต้นไผ่จะมีบางพันธ์ที่ช่วงเริ่มต้น หรือช่วงเตรียมพร้อมนั้น จะใช้สารอาหารทั้งหมดเพื่อพัฒนารากของมัน โดยมันจะแผ่ราก ขยายรากให้กว้าง และลึกมากๆ เพราะว่าการที่ต้นไผ่สูงมากๆนั้นมันเสี่ยงต่อการล้มง่ายมาก ดังนั้นต้นไผ่เลยเตรียมพร้อมโดยการแผ่ขยายรากก่อนนั่นเอง อืมม....อ่านมาถึงตอนนี้ ผมก็คิดน่ะ ก็ไม่เห็นแปลก....จนกระทั่ง ผู้เขียนเฉลยว่า.....การเตรียมความพร้อมนี้ อาจจะเวลา 4 -5 ปีหรือมากกว่านั้นก็ได้!!! ...อะไรนะ ต้นไผ่พันธ์นี้เล่นใช้เวลาครึ่งทศวรรษกันเลยเหรอ แล้วการถ้าการเตรียมพร้อมเสร็จสิ้น และพบกับโอกาส หรือสภาพอากาศเหมาะสม ปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้น ต้นไผ่จะสูงเต็มที่โดยใช้เวลาแค่ 1 ฤดูกาล (ประมาณ 3 - 4 เดือน) ความสูงเต็มที่จะสูงแค่ไหนที่ก็ขึ้นอยู่กับพันธ์นะครับ ซึ่งเป็นได้ตั้งแต่ 4.5 เมตรจนมากกว่า 10 เมตร


คำถามก็เลยกลับมาที่ตัวเราเอง
ขนาดต้นไม้เอง ก็ยังต้องเตรียมความพร้อมเป็นเวลาหลายปี และยังต้องรอโอกาสที่เหมาะสม แล้วเราล่ะ เราได้เตรียมความพร้อมให้ตัวเองแล้วหรือยัง สำหรับเรื่องที่เราต้องการทำให้สำเร็จ เรื่องที่เราอยากจะชนะ ถ้าคุณบอกว่าเตรียมพร้อมแล้ว คุณเองก็ยังโชคดีกว่าต้นไผ่ครับ เพราะต้นไผ่ไปไหนไม่ได้ต้องรออยู่ที่เดิม แต่ตัวคุณเองสามารถออกเดิน หรือออกวิ่งเพื่อวิ่งเข้าหาโชคได้อีกแรง

แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น วันนี้เรามาเตรียมพร้อมให้ดีที่สุดกันเถอะครับ!!! สำหรับคนที่คิดไม่ออกว่าจะให้เตรียมตัวอย่างไง ผมแนะนำครับ ออกไปวิ่งซะ ลองวิ่งดู เพราะการวิ่งเปลี่ยนชีวิตมาหลายคนแล้วครับ!!! สู้ๆครับ 

ขอบคุณรูปภาพสวยจาก Wikipedia (Creative Commons)



Continue Reading...

Tuesday, October 28, 2014

คู่ชีวิต คือ สิ่งสำคัญในชีวิตที่มีผลมากกว่าที่คุณคิด และไม่ธรรมดา!!!



ในครั้งนี้ผมจะเขียนถึงเรื่องคู่ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสามีหรือภรรยา โดยผมจะขอเขียนจากมุมมองของผม นั่นคือเขียนถึง "ภรรยา" ว่าการเลือกคู่ชีวิตนั่นมีผลต่อความสุขและความสำเร็จในชีวิตคุณเป็นอย่างยิ่ง และสิ่งนี้ไม่ได้เกิดจากความคิดของผมเองคนเดียว แต่ทว่าเป็นสิ่งที่ผู้ชายบนโลกใบนี้ต่างก็ได้เรียนรู้กันมา ถ้าคุณลองศึกษาประวัติชีวิตของผู้ที่ประสบความสำเร็จหลายๆคนจะพบเลยว่า ส่วนสำคัญของความสำเร็จของเขา มาจากตัวภรรยาและครอบครัวที่ค่อยสนับสนุน ให้กำลังใจ และวันนี้ผมจะขอหยิบยกเรื่องราวของชายผู้พลิกโฉม การเดินทางของโลกใบนี้นั่นคือ "เฮนรี ฟอร์ด"

เฮนรี ฟอร์ด
เฮนรี ฟอร์ดเป็นบุคคลสำคัญในวงการรถยนต์ จนไปถึงแวดวงอุตสาหกรรมกันเลย สำคัญมากจนกระทั่งนักทฤษฏีสังคมถึงกับเรียกยุคสมัยช่วงหนึ่งเลยว่า "สังคมแบบฟอร์ด" เพราะว่าเขาได้ก่อตั้งบริษัทฟอร์ดมอเตอร์ และเป็นบริษัทแรกที่เริ่มระบบสายพานการผลิต และสิ่งนี้ก็เริ่มทำให้สังคมเกิดสิ่งที่เรียกว่า "ชนชั้นกลาง" หลายคน กล่าวเลยว่า ชนชั้นกลางมีขึ้นได้ ก็เพราะว่าเฮนรี่ ฟอร์ด!!! แม้เฮนรี ฟอร์ดจะเสียชีวิตลงในปี พ.ศ. 2490 แต่ทุกวันนี้บริษัทที่ชื่อ ฟอร์ด ก็ยังอยู่และรถยี่ห้อนี้ก็ยังมีขาย

ในตอนที่เฮนรี ฟอร์ด ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงนั้น เป็นมหาเศรษฐีไม่รู้กี่แสนล้าน (เฮนรี ฟอร์ด ก็มีทำเครื่องบินช่วงสงครามด้วย ฮ่าๆๆๆ) แต่พอมีคนถามเฮนรี ฟอร์ดว่า "ถ้าเกิดใหม่อีกครั้ง หรือชาติหน้ามันมีจริง คุณอยากจะรวยและเป็นแบบนี้อีกไหม?" ฟอร์ดส่ายหน้าบอกว่า "ผมไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ขอเพียงแต่ให้ผมได้เจอภรรยาผมอีกครั้งก็พอใจแล้ว" นี้เป็นหนึ่งในการตอบคำถามที่ได้รับการบันทึกในประวัติศาสตร์กันเลยทีเดียว เพราะผมเองก็อ่านเจอเหตุการณ์นี้ในหนังสือหลายเล่มแล้ว ทีนี้เรามาดูกันว่าอะไรทำให้ ชายผู้นี้ให้ความสำคัญกับหญิงคนหนึ่งเหนือสิ่งอื่นใด

ช่วงเริ่มต้นชีวิต
เฮนรี  ฟอร์ดได้แต่งงานกับคลาร่า ไบรอัน ในตอนที่เขาอายุ 24 ปี และเขาเรียกภรรยาของตัวเองว่า "ผู้เชื่อมั่น" เพราะในยุคนั้น ทั้งอเมริกาและยุโรป กำลังคิดค้นและหาวิธีในการนำเครื่องจักรไอน้ำมาประยุกต์ใช้กับรถยนต์ โดยสารขนาดเล็ก แต่เฮนรี่ ฟอร์ด ไม่สนใจเรื่องนี้เลย แล้วไปประดิษฐ์และประยุกต์เครื่องยนต์สันบาดภายในแทนการใช้ม้าลาก ในตอนที่ทำการทดลองและทดสอบวิ่งแถวบ้านนั้น มีแต่คนหัวเราะเยาะเขา เพราะรถก็ต้องใช้ถนน แต่ม้าไม่จำเป็น แถมรถวิ่งไปได้นิดหน่อยก็ควันขึ้นแล้ว ทำจนหลายคน เริ่มมองว่า เฮนรี ฟอร์ดนั้น สติไม่ดี!!! แต่ภรรยาคนนี้ก็ยัง นั่งเคียงข้างคอยป้อนข้าว ป้อนน้ำ แม้ชีวิตจะไม่ได้หรูหรา ต้องเจอทั้งคราบน้ำมัน ฝุ่นควัน และเพื่อเป็นการหลบเลี่ยงสายตาผู้คน ทั้งคู่ต้องแอบเอารถไปทดสอบตอนเช้ามืด วิ่งแล้วพัง ทำแล้วเจ๊ง เฮนรี ฟอร์ดก็รื้อมาวิเคราะห์ มาซ่อม ทำไม่รู้กี่ร้อยครั้ง และในที่สุด เขาทั้งคู่ก็ทำสำเร็จ

และนี้เป็นหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมถึงจะเกิดอีกชาติ เขาขอแค่เจอภรรยาก็พอใจแล้ว ♥ ♪ เพราะชีวิตครอบครัวไม่มีสิ่งไหนมาทดแทนได้ ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จของด้านหน้าที่การงานแค่ไหน ก็ไม่อาจจะมาเต็มเติมสิ่งนี้ได้ และสุดท้ายนี้ ผมขออวยพรให้คุณได้พบเจอกับ คู่ชีวิตที่ดีและขอให้ดูแลกันตลอดไปนะครับ และขอบคุณ Wikipedia สำหรับรูปภาพครับ


Continue Reading...

Monday, October 27, 2014

ถ้าหมดไฟแล้วอยากเปลี่ยนชีวิต จงทำสิ่งที่ทำให้คุณมีชีวิตชีวาครับ!!!



กว่าจะโตจนมาถึงวันนี้ได้ ผมว่าทุกๆคนคงเคยเจ็บไข้ได้ป่วยกันมาบ้างไม่มากก็น้อย ทีนี้คุณเคยไหมครับ เวลาป่วยๆนอนพัก นอนอู้งาน หรือนอนโดดเรียนอยู่ที่บ้าน แต่ไข้กลับไม่ลด ยังรู้สึกป่วยๆอยู่เลย นอนเยอะก็แล้ว ทานยาก็แล้ว ไข้ก็ยังอยู่ พอถึงวันรุ่งขึ้นก็จำเป็นต้องกลับไปทำงานหรือกลับไปเรียน ไม่ว่าจะหายหรือยังไม่หายก็ตาม ฮ่าๆๆๆ แต่เราพอกลับไปแล้ว ทีนี้กลายเป็นว่า เมื่อได้เริ่มทำงาน ไข้กลับหายไปเลย หายปวดตามเนื้อปวดตามตัวเลย ไม่ต้องทานยาพาราอีก!?!?

เรื่องนี้ผมเคยคุยกับเพื่อนหลายๆคนแล้วเจอว่า ส่วนมากก็เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ นอนอยู่บ้านไม่หาย แต่พอมาสู้งาน มาทำงานหายเลย ฮ่าๆๆๆๆ ซึ่งแนวคิดนี้ล่ะ พอผมอ่านเจอประโยค

"ทำสิ่งที่ให้คุณมีชีวิตชีวา หยุดทำสิ่งทีทำให้คุณหมดพลังชีวิต"
ข้อคิดนี้เปลี่ยนชีวิตผม (บัณฑิต อึ้งรังษี)

ซึ่งผมได้อ่านจาก "หนังสือคำคมกำลังใจ ของคุณบัณฑิต อึ้งรังษี" ผมว่ามันเป็นแบบที่ประโยคนี้ได้กล่าวไว้จริงๆ หลายครั้งมากๆในชีวิตเมื่อผมได้เจอกับอุปสรรคหรือปัญหาใหญ่ๆในชีวิต การที่นอนพัก หรือที่บางคนเรียกว่า นอนขี้เกียจนั้น มันกลับให้ผมรู้สึกหมดแรง ทีนี้เรามาลองนึกถึงตอนที่เรายังเด็กๆกันดูบ้างครับ ตอนที่เราหมดแรงไม่อยากทำอะไร และหลายครั้งคุณแม่คุณพ่อจะไล่ให้ไปทำงานบ้าน ไปถูบ้าน ให้ไปวิ่งเล่นบ้าง ซึ่งมันช่วยได้จริงๆ ทำให้เราไม่คิดมาก และบ่อยครั้งที่ทำให้เราคิดอะไรดีๆออก แต่พอเราโตขึ้นและหลายคนย้ายออกมาอยู่คนเดียว ไม่ได้อยู่กับคุณแม่คุณพ่อแล้ว พอมีปัญหาอะไรเข้ามา กลับนอนเฉยๆ แบบนี้มันจะทำให้เรายิ่งหมดแรงในการดำเนินชีวิตเน้อ

ดังนั้นวิธีง่ายๆที่จะช่วยให้คุณเป็นคนมีไฟ มีแรงใจและมีความหวัง โดยที่ไม่ต้องพึ่งกระทิงแดงหรือเครื่องดื่มชูกำลังนั่นก็คือ ออกไปทำอะไรก็ได้ครับ ที่ทำให้คุณมีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นออกไปวิ่ง ออกไปว่ายน้ำ ขี่จักรยาน หรือจะไปเล่น T25 ก็ได้ บางทีผมก็ออกไปล้างรถ และหลายๆคนก็พาครอบครัวไปเดินเล่น หรือไปหาคุณพ่อคุณแม่ เอาเป็นว่าไปทำอะไรก็ได้ที่มันทำให้เรามีชีวิตชีวาครับ และที่สำคัญ หยุด หยุดเลยนะ หยุดทำอะไรที่มันทำให้คุณหดหุ่ ที่ผมเห็นชอบทำกันบ่อยๆเลย คือ เพลงเศร้าแล้วไปก็นั่งร้องไห้ แม่งเอย!!! ผมเข้าใจความรู้สึก แต่ถ้าคุณอยากเปลี่ยนแปลงชีวิต ออกไปทำสิ่งที่ทำให้คุณมีชีวิตชีวาครับ สู้ๆครับ

Photo: "Mike" Michael L. Baird / Creative Commons
Continue Reading...

Wednesday, October 22, 2014

ความทุกข์มาโปรด ความสุขโปรยปราย หนังสือที่ทำให้ใจสบายจาก ท่าน ว.วชิรเมธี



ตอนที่ผมซื้อหนังสือเล่มนี้นั้น คือ ตอนปี ๒๕๕๓ เพราะเหตุผลแค่ว่า "ทุกข์" และอยากแสวงหาหนทางในการลดระดับความรุนแรงของความทุกข์ให้ลงก็เพียงพอแล้ว ซึ่งหนังสือเล่มนี้กลับดีมากกว่านั้นอีกเยอะครับ ดังนั้นถ้าคุณกำลังทุกข์ แล้วต้องการหาอะไรสักอย่างมาช่วยบรรเทาทุกข์ล่ะก็ หนังสือเล่มนี้เลยครับ ช่วยท่านได้แน่นอน

หนังสือ ความทุกข์มาโปรด ความสุขโปรยปราย - มี 3 ภาคหลัก กับอีก 1 ภาคพิเศษ (เหมือนหนังสมัยนี้ครับ ที่มีหลายๆภาค ฮ่าๆ แต่ในที่นี้จะเล่าเฉพาะภาคแรก)

ภาค ๑ ความทุกข์มาโปรด
คนเรานั้นเกิดมาแล้วมีความทุกข์ด้วยกันทุกคน ไม่ว่าจะ ชั่ว-ดี มี-จน สูง-ต่ำ ดำ-ขาว ล้วนแต่มีความทุกข์ด้วยกันทั้งด้วยทั้งสิ้น แต่สิ่งที่สำคัญคือ ความทุกข์เป็นสัจจะอันประเสริฐ

ลองนั่งคิดครับ คุณเคยทุกข์มากๆไหม ทุกข์จนน้ำตาไหล ทุกข์นั้นทำให้เราไม่ประมาท ทำให้เราเรียนรู้ จดจำ เพราะไม่อยากกลับไปทุกข์ และในหนังสือนั้น ท่าน ว. วชิรเมธี ยังได้เล่าประวัติของท่าน ติช นัท ฮันห์ ให้ฟังว่า ท่านติช นัท ฮันห์เคยทุกข์ระดับโลกกันเลยทีเดียว แต่ท่านก็เรียนรู้จากทุกข์และยังช่วยเหลือผู้อื่นต่ออีกด้วย และก่อนที่จะจบในภาคแรกของหนังสือ ท่าน ว. ก็ได้เขียนบทเกี่ยวกับ "พลิกทุกข์ให้เป็นสุข" ซึ่งผมประทับใจในบทนี้มากครับ

พลิกทุกข์ให้เป็นสุข
ถ้าคุณเคยทุกข์มากๆ ทุกข์ยิ่งกว่าลึกจนสุดใจ ผมอยากให้รีบอ่านสิ่งที่ท่าน ว.ได้เขียนได้เลยว่า

"การฆ่าตัวตายหนีความทุกข์นั้นไม่มีความจำเป็นเลย ความตายนี้เป็นของได้เปล่า 
อย่างไรเราก็ต้องตายอยู่แล้ว อยู่ไปเถอะเดี๋ยวก็ตายเอง"

พออ่านจบเท่านั้นล่ะ ทั้งขำและหายทุกข์ไปในเวลาเดียวกัน ดังนั้นคุณต้องลุกขึ้นสู้กับความทุกข์ครับ สู้มันเข้าไปครับ ไม่ทุกข์ติดมุม ก็เราติดมุม ไม่เราแพ้ ทุกข์มันก็แพ้ครับ และบทนี้ยังบอกต่อว่า ร้อยละ ๙๙.๙๙ นั้น คนที่สู้จะชนะครับ ดังนั้นเรามาลุกขึ้นสู้กับความทุกข์พร้อมๆกัน

ขอบคุณครับ
Continue Reading...

Monday, October 20, 2014

บางครั้งการไปให้ถึงเป้าหมาย แค่ความพยายามมันยังไม่พอ!?!?



ผมเชื่อว่าในหัวใจของทุกๆคน ต้องการประสบความสำเร็จและไปให้ถึงเป้าหมาย ทำให้คุณต้องใช้ความพยายามในการเดินทางอย่างแน่นอนครับ แต่ว่าผมเพิ่งได้เรียนรู้บทเรียนที่สำคัญว่า "บางครั้งการไปให้ถึงเป้าหมาย มันใช้มากกว่าคำว่า ความพยายามครับ" เดี๋ยวก่อนนะ ความพยายามน่ะสำคัญมากๆ และยังคงความสำคัญอยู่ครับ แต่สิ่งที่ผมต้องการจะบอก คือ การเดินทางไปสู่เป้าหมายมันมีบ่อยครั้งมากๆ คุณจะต้องเจอกับอุปสรรค ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำคือ "คิดว่ามันมีหนทางเสมอ แล้วลองหาทางอื่นในการเดินทางสู่ความฝัน" สิ่งที่ผมเขียนมา ไม่ได้คิดขึ้นได้เองครับ แต่มันเกิดจากประสบการณ์ที่เดินไปชนกำแพง และยัง(เผือก)เอาหัวชนต่อไป จนได้มาหยุดคิดและตั้งสติในการแก้ปัญหา ไปนั่นคุยกับที่ปรึกษา ไปหาหนังสือดีๆมาอ่าน ซึ่งหนึ่งในนั่น คือ หนังสือคิดใหญ่ไม่คิดเล็ก กับหนังสือของคุณวินทร์ เลียววาริณ

แล้วอะไรล่ะที่ต้องใช้คู่กับคำว่า "ความพยายาม"
การเดินทางสู่ความฝันสิ่งที่พวกเราควรใช้ควบคู่ไปกับความพยายาม คือ การเปลี่ยนแปลง หรือการทดลอง (คำว่า การทดลอง ผมนำมาจากหนังสือ คิดใหญ่ไม่คิดเล็กครับ) จริงๆสิ่งนี้ หรือ หลักการนี้สามารถอธิบายได้ด้วยคำว่าของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ว่า

"คนบ้าเท่านั้น ที่คิดสิ่งเดิมๆ และทำสิ่งเดิมๆ แต่หวังให้ผลลัพธ์มันเปลี่ยน"
(Insanity is doing the same thing over and over again)

ในหนังสือหลายๆเล่มที่ผมอ่าน จะมีตัวอย่างที่สำคัญ 2 ตัวอย่าง สำหรับการอธิบายเรื่องความพยายามกับการเปลี่ยนแปลงหรือการทดลอง คนแรกคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก โทมัส เอดิสัน เพราะว่า คุณเอดิสันกว่าจะทดลองหลอดไฟสำเร็จนั่นต้อง ทดลองเป็นหมื่นๆครั้ง กว่าจะสามารถประดิษฐ์หลอดไฟได้สำเร็จ และที่สิ่งสำคัญคือ คุณเอดิสันไม่หยุดหยั่งที่จะลองหาวิธีการใหม่ๆในการทำงาน ดังนั้น ถ้ามีแค่ความพยายามแต่ไม่ลองหาวิธีใหม่ เราก็คงไม่มีหลอดไฟใช้กันอยู่ในทุกวันนี้

ส่วนตัวอย่างที่สองนั้น หนังสือหลายเล่มจะพูดถึง นักเขียน! เพราะนักเขียนกว่าจะมีชื่อเสียงหรือได้รับการตีพิมพ์นั้น จะต้องหัดเขียน หรือเขียนไปให้พิจารณาหลายรอบมากๆ กว่าจะได้รับการตีพิมพ์ แต่กลับมีนักเขียนหลายคน ที่พยายามเขียนแล้วเขียนอีก แต่เขาก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนวิธีการเขียนหรือรูปแบบการดำเนินเรื่อง ทำให้ผลลัพธ์ก็ยังออกเหมือนเดิม

วิธีพัฒนาให้ตัวเองเป็นคนชอบการทดลอง
นั่นคือสิ่งที่ผมได้ไปอ่านมาจากหนังสือ คิดใหญ่ไม่คิดเล็กนะ เลยอยากจะแชร์ไว้ด้วย เพราะว่าไม่อยากบอกแค่ ต้องใช้การทดลองควบคู่กับความพยายาม แต่ไม่ยอมบอกวิธีพัฒนา skill นี้ด้วย

1. บอกตัวเองเสมอว่า ยังมีหนทาง - ถ้าคุณคิดและบอกกับตัวเองเสมอๆ เวลาเจออุปสรรคในการเดินทาง เราจะสามารถผลักดันตัวเองให้มองหาและพยายามทดลองอะไรใหม่ๆ แทนที่จะมานั่งบ่นครับ
2. ถ้าเหนื่อยนักก็พักก่อน - ข้อนี้ผมมักจะลืมทำไปครับ เพราะหลายครั้งที่ติดปัญหาแล้วจะไม่ยอมหยุดพัก แต่นั่งดื้อทำและหาวิธีแก้ต่อไป แต่บ่อยครั้งมากๆที่คิดวิธีแก้ปัญหาออกตอนอาบน้ำ หรือหลังจากไปนอนพัก!!! 

และผมขอจบบทความนี้ด้วยคำพูดของคุณโทมัส เอดิสัน ตำนานนักประดิษฐ์ของโลกนะครับ

"ผมไม่ได้ล้มเหลว ผมแค่ค้นพบเส้นทางที่ยังไม่ใช่หนึ่งหมื่นทางเท่านั้น"
(I have not failed, I've just found 10,000 ways that won't work)


**รูปปั้นของโทมัส เอดิสัน ตอนหนุ่มบริเวณสะพาน  Blue Water ที่ Port Huron รัฐ Michigan จาก wikipedia ครับ**

Continue Reading...

Friday, October 17, 2014

หนังสือเก่าๆที่ยังคงความสนุก สามก๊ก ฉบับวณิพก โดยยาขอบ


นี้คือหนึ่งในหนังสือที่เขียนโดยคนไทยที่เก่ามากที่สุดที่ผมเคยอ่าน "สามก๊ก ฉบับวณิพก ของยาขอบ"  เก่าแค่ไหนนะเหรอครับ ก็แค่เพิ่งมีงานเฉลิมให้กับยาขอบครบ 100 ปีไปเมื่อปี 2550 เอง!!! นั่นหมายความว่า ยาขอบ หรือโชติ แพร่พันธุ์ เกิดในปี พ.ศ. 2450 ครับ เนื่องจาก ประวัติสามก๊กหลายคนรู้จักอยู่แล้ว ดังนั้น เรามาเริ่มรู้จักกับคุณโชติ แพร่พันธุ์ ก่อนครับ

1 ใน 3 นักเขียนไทย ที่ 100 ปี หยดน้ำหมึกไม่มีวันจาง
ถ้าเป็นการ์ตูนเรื่องนินจาคาถาฯ ยาขอบก็ต้องเป็น 1 ใน 3 นินจาในตำนาน!!! ฮ่าๆๆๆ คือ ผลงานของเขา เป็นที่ยอมรับในวงการแล้ว และกาลเวลาได้เป็นเครื่องพิสูจน์อีกชั้น สำหรับคุณค่าของผลงาน สำหรับอีกผลงานเด่นของคุณโชติ แพร่พันธุ์ ก็คือ ผู้ชนะสิบทิศ ที่เด็กก็ยังต้องเรียนกัน

สามก๊ก ฉบับวณิพก โดยยาขอบ
ถ้าใครเคยอ่านสามก๊กมาบ้าง คงจะรู้ดีว่า ตัวละครเยอะมาก ถึงมากที่สุด ต้องจำชื่อ ความสัมพันธ์ เท่านั้นยังไม่พอครับ ยังมีสถานที่ และตำแหน่งเมืองมาเกี่ยวข้อง ทำให้การอ่านสามก๊กให้สนุกนั้นต้องจำตัวละครให้ได้ เพราะว่าในช่วงเวลาใกล้ๆกันจะมีเหตุการณ์ต่างๆ ที่หัวเมืองนั้น หัวเมืองนี้ และละครหลักๆก็มีบทบาทสำคัญๆ ทำให้ต้องเล่าเรื่องสลับกันไป สลับกันมา อ่านแล้วต้องจำเยอะว่าอ่าน "Cloud Atlas" แน่นอนครับ ฮ่าๆๆๆ

แต่สำหรับสามก๊ก ฉบับวณิพก นั้นเราจะได้อ่าน ได้ติดตามตัวละครทีละคน ตั้งแต่เริ่มจนจบ และพออ่านจบครบทุกคน ก็จะประติดประต่อเรื่องราวได้อย่างสนุกสนาน จนไม่น่าเชื่อว่าสามก๊กจะสนุกขนาดนี้ เช่น พอเราอยากจะรู้เหตุการณ์ของตัวละครนี้ต่อเลยว่า หลังจากเมืองนี้ถูกตีแตกแล้วเป็นไงต่อ ไม่ใช่โดนตัดไปเข้าช่วงโฆษณาเล่าละครอีกฝั่งนึง ทำให้อารมณ์ต่อเนื่องกันไปในขณะที่อ่านครับ

เล่มนี้ผมแนะนำเลยครับ สำหรับคนที่อยากจะลองเริ่มอ่าน สามก๊ก และสำหรับ"สามก๊ก ฉบับวณิพก โดยยาขอบจะมี 2 เล่มครับ" และสำหรับการหาซื้อนั้น ผมคิดว่าไม่น่าจะยากมากนะ เพราะว่าเพิ่งมีการพิมพ์หนังสือ อีกรอบฉบับ 100 ปี ยาขอบไปครับ
Continue Reading...

Wednesday, October 15, 2014

หนังสือเล่มเดิม กับวันเวลาที่เปลี่ยนไป

A book is a dream that you hold in your hand.
–Neil Gaiman


ช่วงนี้ผมมีเวลาที่จะกลับมาหยิบหนังสือเล่มเก่า กลับขึ้นมาอ่านกันอีกรอบ ตอนแรกก็คิดก่อนเลยว่า "จะสนุกเหมือนเดิมไหมน่า?" แต่ผลปรากฏว่า อ่านหนังสือสนุกมากกว่าเดิมครับ!?!? ผมก็แปลกใจเหมือนกัน เพราะว่าลองกลับมาหยิบขึ้นมาอ่านอีก สองถึงสามเล่ม ก็ยังรู้สึกสนุกกว่าเดิม อาจจะเป็นเพราะ เราอ่านหนังสือครับ เราไม่ได้ดูหนัง หรือผมอาจจะอ่านมาเยอะจน เริ่มจำรายละเอียดไม่ได้ ทำให้เวลากลับมาอ่านหนังสือดีๆเก่าๆ บางเล่ม รู้สึกว่าประทับใจคนเขียนมากเลย อย่างเช่น หนังสือเล่มล่าสุดที่ผมเพิ่งกลับมาอ่านและเขียนไปคือ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก ทั้งๆที่หนังสือเล่มนี้เก่ามากแล้ว แต่เนื้อหายังคงร่วมสมัยอยู่ หลักการต่างๆยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อยู่ ตัวอย่างหรือปัญหาที่หยิบยกขึ้นมาเล่าให้ฟัง ก็รู้สึกว่า ปัญหาเหล่านี้ก็ยังคงมีอยู่ในช่วงเวลาปัจจุบัน ซึ่งแสดงให้เห็นเลยว่า หนังสือดีๆแม้จะเก่า แต่เนื้อหาไม่ได้เก่าไปตามกาลเวลา แต่เวลากลับจะมาเป็นตัวพิสูจน์คุณค่าและความดีงามของหนังสือ จนต้องกลับมานั่งคิดอีกหลายๆครั้งว่า

"ทำไมเราไม่อ่านหนังสือให้เยอะกว่านี้นะ" 

ปัญหาหลายๆอย่างเขาก็เจอกันมาหมดแล้ว เรียนรู้วิธีที่ปฏิบัติกับปัญหาเหล่านั้น จนเขียนเป็นหนังสือได้เลย วันนี้ผมก็เลยมาเล่า มาเขียนให้ใครก็ตามที่แวะเข้าได้รู้ว่า "พอผมเริ่มมีอายุมากขึ้น แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองรู้น้อยลง จนอยากจะเรียนรู้ และอ่านหนังสือให้มากกว่าเดิม อยากลองทำอะไรใหม่ๆมากเดิม" อ้าว เด็กๆน้องๆ คนไหนยังเล่นเกมส์กันเยอะอยู่ ก็ลองแบ่งเวลาสัก 1 -2 ชั่วโมงมาอ่านหนังสือดีๆกันดูนะครับ ผมอยากเห็นคนไทยอ่านหนังสือดีๆ กันเยอะๆครับ


สรุปสิ่งที่ยังคงคิดหลังจากที่อ่าน หนังสือคิดใหญ่ไม่คิดเล็ก
ในช่วงท้ายบทความ ผมอยากเขียนสรุปในบางสิ่งที่ยังคงคิดถึงหลังอ่านจบอีกรอบนะครับ คือ ในตัวอย่างที่หนังสือคิดใหญ่ไม่คิดเล็ก ได้หยิบยกขึ้นมา มันยังโดนใจและฝั่งใจอยู่ ผมเลยอยากจะใช้เนื้อที่ตรงนี้ในการเล่าสู่กันฟังนะครับ ในหนังสือจะมีบทหนึ่งที่จะพูดถึงการคิดอย่างถูกต้องต่อคนอื่น แล้วได้ใช้เหตุการณ์จริงๆที่ผู้เขียนเจอ คือ

ในระหว่างที่ผู้เขียน(David J.Schwartz) ได้นั่งรถเพื่อนของเขา และได้สังเกตเห็นว่าเพื่อนเขาหยุดรถเพื่อให้รถคันอื่นที่จอดอยู่ริมถนนออก หรือให้รถที่กำลังจะออกจากซอยได้ขับออกมาหลายครั้ง จนกระทั่งผู้เขียนก็ได้จิกกัดเล็กๆน้อยๆกับเพื่อนว่า "โอ้ นี้นายอยู่ชมรมคนใจดีเหรอเนี่ย!!!" เพราะผู้เขียนไม่เคยเห็นคนขับรถคนไหน แสดงความใจดีขนาดนี้มาก่อน แล้วเพื่อนของเขาก็ตอบว่า

"การที่ต้องช่วยคนขับ 3 คนให้ออกมาจากซอยหรือริมถนนนั้น อาจจะทำให้เขาเสียเวลาเพิ่มขึ้นอีก 45 วินาที และพวกเขาเหล่านั้นก็อาจจะไม่ได้ทำดีกับเขาเป็นการตอบแทน แต่สิ่งที่เขาได้รับตอบแทนทันทีเลย คือ การแสดงความเอื้อเพื้อต่อผู้อื่นนั้น ช่วยทำให้ฉันใจเย็นขึ้น"


โอ้ หนังสือเล่มนี้เขียนตั้งแต่ปี 1959 จริงเหรอเนี่ย!?!? ทำไมรู้สึกว่าตัวอย่างมันยังโดนใจขนาดนี้!!! พอมานั่งคิดดู ผมเองก็เคยมองหาวิธีที่จะทำให้ใจเย็นเพิ่มขึ้นเหมือนกัน แต่ก็ลืมไปเลยว่า การทำอะไรง่ายๆอย่างให้รถคนอื่นได้ออกจากซอยบ้าง แทนที่ผมจะตบไฟหน้า แถมต่อท้ายด้วยการกระทบคันเร่งส่ง ฮ่าๆๆๆๆๆ นี้ยังไม่รวมไปถึงการบีบแตรด้วยนะ ฮ่าๆๆๆๆๆ จริงๆ เมื่อวานก็ไปลองทำดูนะ ก็รู้สึกว่าใจเย็นขึ้นนิดนึง แต่ก็กลัวๆว่ารถคันหลังจะกดแตรด่านะจิ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

ในบทเรื่องการคิดอย่างถูกต้องต่อคนอื่นนั้น ยังมีอีกตัวอย่างที่กระแทกโดนใจ นั่นคือ ผู้เขียนได้หยิบยกคำสัมภาษณ์ของคุณเบนจามิน แฟร์เลส คนที่มีชื่อเสียงมากๆ ในอุตสาหกรรมเหล็กกล้าช่วงยุค 1950 อย่าลืมนะครับ ว่าหนังสือเล่มนี้เขียนตั้งแต่ปี 1959

"ผมก็เคยรู้สึกผิดหวังบ้าง หลายครั้งที่ผมไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งแต่คนอื่นกลับได้ไป ที่สำคัญคือผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเหยื่อของ การเมืองในที่ทำงาน หรือความลำเอียง"เมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่เขาคิด สิ่งที่คุณต้องทำมีแค่ 2 อย่างเท่านั้น

  1. ถามตัวเองว่าจะทำอะไรได้บ้างเพื่อที่จะได้รับเลือกในการเลื่อนตำแหน่งครั้งถัดไป
  2. อย่าไปเสียเวลาและพลังงานกับความผิดหวัง อย่าด่าตัวเอง วางแผนที่จะเอาชนะครั้งต่อไป
"วิธีการที่คุณคิดเมื่อพ่ายแพ้ จะเป็นตัวกำหนดว่าอีกนานเท่าไรคุณถึงจะชนะ"



ขอบคุณที่อ่านจนจบ สำหรับสรุปทุกบทของหนังสือ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก ดูได้ที่นี้คับ


**รูปภาพจาก Wikipedia ครับ**
Continue Reading...

Monday, October 13, 2014

4 ปีผ่านไป กับการกลับมาอ่านอีกครั้งกับ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก (The Magic of Thinking BIG)

"ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่จะเป็นคนเล็ก"
ดิสราเอลลี



"เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก" นั่นคือความรู้สึกของผมจริงๆ เมื่อได้กลับมาหยิบ หนังสือคิดใหญ่ไม่คิดเล็ก มาอ่านกันอีกครั้ง แล้วก็เจอว่าตัวเองเคยเขียนเล่าความรู้สึกที่เคยได้อ่านไว้เมื่อตอนตุลาคมปี 2010...เดี๋ยวนะ นี้มัน ตุลาคม 2014 โอ้แม้เจ้า 4 ปีแล้วนี้!!! แล้วยังไปเจออีกว่า ผมไปโม้ไว้ว่าจะมาเขียนบทต่อไป หน้าแตกแบบนี้หมอไม่รับเย็บ แถมกระทืบซ้ำ!!!  ผมต้องขออภัยเป็นอย่างสูงที่เขียนไว้แต่ไม่ได้ทำตาม อ้าว เอาล่ะ วันนี้ผมจะมาเริ่มต้นกันใหม่ อีกครั้ง ♪ ♫ อีกสักครั้ง ♫ ♪ ฮ่าๆๆๆๆ


ทันที่หยิบหนังสือขึ้นมา สิ่งแรกที่รู้สึกเลยคือ "เก่า!" ฮ่าๆๆๆ จะบอกทำไม เก่าในที่นี้รวมไปถึงชนิดกระดาษที่ใช้พิมพ์สำหรับเล่มที่ผมมีด้วยครับ คือ ถ้าสังเกตุกันดูหนังสือสมัยนี้นะ จะใช้กระดาษถนอนสายตามาทำหนังสือกันเกือบหมดแล้ว เนื้อกระดาษจะไม่ใช่สีขาวๆ แต่หนังสือที่ผมมีเนี่ยสีขาวมากๆ ทำให้รู้สึกเลยว่า เวลาอ่านจะแสบตามากกว่า...ถึงตรงนี้ หลายคนงง นี้มันอะไรรรร ไม่เห็นจะมีเนื้อหาสักกะติ๊ดดดด เดี๋ยวจะรู้ว่าทำไมครับ 


คำนำ
แค่คำนำในหนังสือเล่มนี้ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก ซึ่งพิมพ์มาแล้วตั้งแต่ปี 1959 (เก่าและดี ระดับตำนานอีกเล่ม) คำนำประมาณ 4 หน้า แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกเลือดลมสูบฉีดขึ้นมาได้!!!! เพราะว่าสิ่งที่ David J.Schwartz ได้กล่าวอย่างชัดเจนเลยคือ ขั้นตอนง่ายๆที่หนังสือเขียนขึ้น ไม่ใช่ทฤษฏีที่ยังไม่รับการพิสูจน์ มันไม่ใช่การเดาสุ่ม หรือผู้เขียนมโนขึ้นมา แต่หากเป็นแนวทางของสถานการณ์ในชีวิตจริงที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว และเป็นขั้นตอนคนทั่วไปที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ผล

"คิดใหญ่ แล้วคุณจะได้ชีวิตที่ใหญ่ขึ้น คิดใหญ่แล้วคุณจะมีชีวิตที่ใหญ่ในด้านของความสุข จงคิดใหญ่และคุณจะมีชีวิตที่ใหญ่ในด้านหน้าที่การงาน และนี้คือ คำสัญญาที่ผู้เขียนได้เขียนไว้ในคำนำ"

แค่คำนำ ผมก็ลืมไปหมด กับความเก่าของหนังสือ และกระดาษสีขาวๆที่ไม่สบายเท่าหนังสือใหม่ๆ เพราะเนื้อหาและคุณภาพไม่ได้เก่าไปตามกาลเวลาเลย ถ้าเพื่อนๆคนไหนมีหนังสือเล่มนี้อยู่ใกล้ๆ อย่าลืมหยิบขึ้นมาอ่านกันนะครับ




สรุปเนื้อหาจาก คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก
หนังสือเล่มนี้มีทั้งหมด 14 บท ผมจะพยายามบทสรุปใจความสำคัญของแต่ละบทให้ดีที่สุดนะครับ
บทที่ 1 ถ้าคุณคิดว่าคุณทำได้ คุณก็จะทำได้ - ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่จะเกินความสามารถของมนุษย์ มันไม่เกี่ยวกับระดับการศึกษา ไม่เกี่ยวกับอายุ มันเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อ คุณต้องเชื่อว่าคุณทำได้ คิดว่าต้องสำเร็จ อย่าคิดว่าจะล้มเหลว และย้ำเตือนตัวเองเสมอว่าคุณเก่งกว่าที่คุณคิด และสุดท้าย คิดใหญ่

บทที่ 2 รักษาโรคชอบแก้ตัวของคุณ - เพราะว่ามันคือ โรคแห่งความล้มเหลว ถ้าใครมีรับรองไม่เจริญ! พออ่านบทนี้จบ รู้สึกเลยว่า ทำไมบางทีเราชอบพกติดตัวไปจังเลยเนี่ย "ข้ออ้าง ข้ออ้าง แล้วก็ข้ออ้าง" ในบทนี้จะลงรายละเอียดของโรคยอดฮิตของผู้คน ในอ้างการว่าทำไมถึงทำไม่ได้ และวิธีเอาชนะมัน!

บทที่ 3 - สร้างความเชื่อมั่นในตนเอง และทำลายความหวาดกลัว - ขั้นแรกคุณต้องยอมรับมันก่อนว่าความกลัวมีตัวตนจริงก่อนที่คุณจะเผชิญกับความกลัวและเอาชนะมัน และคุณควรรู้ว่า ไม่มีใครที่เกิดมาพร้อมกับความมั่นใจ ข่าวดีคือ คุณเองก็สามารถฝึกความมั่นใจได้ครับ

บทที่ 4 วิธีการคิดใหญ่ - ข้อนี้อธิบายง่ายสุด คือ คุณต้องมองไปสิ่งที่เป็นไปได้ในอนาคตไม่ใช่สิ่งที่มันเป็นอยู่ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณจะขายที่ดินแห่งหนึ่ง ถ้าคุณไปบอกว่า พื้นที่ตรงมีเนื้อที่เท่าไร ตอนนี้ปลูกอะไรได้ผลเท่าไร แบบนี้คงขายยากครับ แต่ถ้าผมมองเห็นความเป็นไปได้และมีแผนการไปเสนอแบบนี้ซิ คนถึงพร้อมที่เชื่อไปกับผม

บทที่ 5 วิธีการคิดและฝันอย่างสร้างสรรค์ - ขั้นแรกที่สุด เราต้องเชื่อก่อนว่ามันเป็นไป เชื่อว่าเราทำได้ และจิตใจของคุณจะช่วยหาหนทางให้เองครับ ต่อจากนั้น เราก็ต้องตั้งถามหรือ คิดในสิ่งที่สร้างสรรค์ เช่น ถามตัวเองว่า "ทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร หรือจะทำให้ได้มากขึ้นได้อย่างไร?" เดี่ยวเราก็จะหาหนทางได้เอง ไม่ว่าจะเป็น ตัดงานที่ไม่สำคัญทิ้ง หรือปรังปรุงขั้นตอนบางอย่างในการทำงาน

บทที่ 6 คุณเป็นไปตามที่คิดว่าคุณเป็น - ใจความสำคัญของบทนี้ คือ สิ่งที่คุณคิด จะกำหนดสิ่งที่คุณทำ และสิ่งที่คุณทำจะส่งผลให้ผู้อื่นปฏิบัติกับคุณ ดังนั้น คุณต้องเคารพตัวเอง เชื่อว่าตัวคุณเองสำคัญ และกำลังทำสิ่งสำคัญ และคุณต้องคิดแบบนี้ทุกๆวัน

บทที่ 7 จัดการกับสภาพแวดล้อมของคุณ - เพราะจิตใจคุณก็จะเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมที่คุณป้อนให้กับจิตใจ ดังนั้นคุณต้องใส่ใจกับสิ่งที่ป้อนเข้าไป ไม่ว่าจะเป็น อาหารหรือเพื่อนที่คุณคบด้วย เพราะว่า เพื่อนคุณนี้ล่ะ อาจจะฉุดรั้งคุณก็ได้ แต่ถ้าคุณคบค้าสมาคมกับคนคิดใหญ่ล่ะก็ คุณจะไปได้ไกลและเร็วกกว่าเยอะ เพราะ คนคิดใหญ่ไม่หัวเราะความคิดใหญ่

ครึ่งนึงแล้ว เย้ๆ ฮ่าๆๆๆ

บทที่ 8 ทำให้ทัศนคติของคุณเป็นพวกเดียวกับคุณ - นั่นคือทำให้ตัวคุณเองมีทัศนคติที่จะนำคุณไปสู่ความสำเร็จ โดยมีหลักการที่สรุปได้เป็นข้อๆ ดังนี้ ปลูกทัศนคติที่ว่า "ฉันกระตืนรือร้น", "คุณเป็นคนสำคัญ" และ "บริการอยู่เหนือสิ่งอื่นใด"

บทที่ 9 คิดให้ถูกต้องต่อคนอื่น - ยุคสมัยนี้เราไม่ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งโดยการ "ถูกลาก" แต่เป็นการ "ถูกยก" ขึ้นสู่ตำแหน่ง แสดงว่า จะต้องมีคนมาช่วยคุณ นั่นคือ การมีความคิดที่ถูกต้องต่อคนอื่นจะทำให้คนชอบและสนับสนุนคุณ และในบทนี้จะลงรายอะเอียดว่าทำไงจะได้มา

บทที่ 10 สร้างนิสัยในการลงมือทำ - เป็นที่แน่ชัดและรู้กันอยู่แล้วว่า การลงมือกระทำเป็นสิ่งที่สำคัญในการที่จะประสบความสำเร็จ เพราะลำพังแค่ความคิดมันไม่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานในตำแหน่งสำคัญๆ หรือการทำธุรกิจส่วนตัว แม้กระทั่งการแต่งงาน สร้างครอบครัว ถ้าเรามั่วแต่กลัวไม่ลงทำอะไรสักที มันเป็นไปไม่ได้ที่จะประสบความสำเร็จ ลองทำก่อนแล้วคอยดู!!!

บทที่ 11 วิธีเปลี่ยนความพ่ายแพ้เป็นชัยชนะ - บางครั้งทั้งหมดที่ต้องการสำหรับความสำเร็จคือ คนที่ยืนกรานและไม่เคยคิดจะยอมแพ้ และคุณอย่าลืมว่า "ความเจ็บปวดจะมีค่าก็ต่อเมื่อเราเรียนรู้จากมัน" ไม่ว่าอะไรจะเกิดบอกตัวเองไว้ครับว่า "มีหนทาง"

บทที่ 12 ใช้เป้าหมายช่วยให้คุณโต - ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในโลกนี้ ไม่ได้เกิดมาจากความบังเอิญ แต่มันเป็นเพราะใครบางคนได้คิดและได้จินตนาการเอาไว้แล้ว คุณเองก็ต้องมีเป้าหมายในชีวิตของคุณเอง ไม่ใช่ว่า คุณจะเปลี่ยนงาน แต่ตัวคุณเองก็ยังบอกไม่ได้ว่า เปลี่ยนเพื่ออะไร แค่เงินเดือนที่เพิ่มขึ้นเหรอครับ จริงๆแล้วคุณควรมีเป้าหมายด้วยว่า ในอีก 10 ปีคุณต้องการเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้กำหนดทิศทางในการดำเนินชีวิตถูกต้อง ต่อจากนั้น เราก็ต้องกำหนดเป้าหมายระยะสั้นด้วยนะ เพื่อที่จะได้เห็นความสำเร็จระหว่างที่เราเดินทาง

บทที่ 13 วิธีที่จะคิดเหมือนกับเป็นผู้นำ - ข้อนี้จะคล้ายๆกับข้อที่ 9 คือ ตำแหน่งผู้นำนั่น คุณจะถูกคนรอบข้างยกคุณขึ้นไป ในบทที่นี้จะลงรายละเอียดเพิ่มเติมครับ

บทที่ 14 ใช้ความมหัศจรรย์ของการคิดใหญ่ ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่สุดของชีวิต - บทสุดท้ายจะมาย้ำเตือนให้คุณ เพราะว่าในการเดินทางของคนคิดใหญ่จะต้องเจออุปสรรคแน่นอน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณต้องคนคิดใหญ่ และขอจบการเล่าเรื่องจาก หนังสือคิดใหญ่ไม่คิดเล็ก ด้วยคำพูดของลิเลียส ไซรัส
"คนฉลาดจะเป็นเจ้านายของจิตใจเขา คนโง่จะเป็นทาส"


หลังจากอ่านจบไปสักพัก ผมก็เขียนสิ่งที่ยังคงคิดถึงเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้นะครับ ดูได้ที่นี้เลย

ขอบคุณทุกท่านมากๆครับ ที่อ่านจนมาถึงตรงนี้ :)
Continue Reading...

Friday, October 10, 2014

10 Steps From the present to the dream!



If you think 10 steps is too much for you, I have an easy way “Go to sleep and dream about it!” If you dream of anything don't forget to buy Lottery!
The 10 steps that I will told you I have read from the book that written by Boy Wisoot. He also discuss about this on the book opening “Part time job can produce more money Part2


  1. Ask yourself - you have to answer yourself why you want to be the point that you have dream about. Because every steps that you take will have obstacles! Then you need to know why first. Why you want to do this? Why you want to be like this?
  2. Greedy - Please choose! Do what you love? Have a lot money? Do what you love and still earn a lot money? Other criterias as you request! Note them all
  3. Set an inspirational target - If you do not feel excited about your goal. I would say it probably won’t fun to reach that target, isn’t it?
  4. Write it down! - There would be no such thing to make your dreams become more tangible faster than writing it.
  5. Begin with the end in mind - Stephen R Covey also mention about this, that you need to think or imagine about it. 
  6. Go for it! - Event it seem no way but we need to keep on going!! The door will open if you brave enough to keep walking!
  7. Accumulate the failure - This step make me feel calm up a lot because Boy said the accumulated failures like you collect the green tea led. Then you have the experience to lead to success.
  8. Write and believe in success - When success is achieved, take note then we will put more effort to achieve the next goal and take note. It like an success cycle!
  9. Happy first… then Success - Do not put the happiness at the destination. We should be happy while we walk to our dream too!
  10. Silence is your best friend - Finding time to yourself.  In addition to mental health and wisdom and very few people will be use this way.
***Image from wiki***
Continue Reading...

Wednesday, October 8, 2014

10 ขั้นตอน จากปัจจุบันไปสู่ฝัน


ถ้าคุณคิดว่า 10 ขั้นตอนมันเยอะไป ผมแนะนำวิธีง่ายๆ นั่นคือ ดื่มวีต้าร์แล้ว...ไปนอนซะ!!! ถ้าฝันก็ไปซื้อหวย ฮ่าๆๆๆๆ แต่ว่า 10 ขั้นตอนนี้ผมไม่ได้คิดเองนะครับ ผมไปอ่านและไปดูที่คุณบอย วิสูตร เขาพูดไว้ในงานเปิดตัวหนังสืองานไม่ประจำ เล่ม 2 ดูรายละเอียดได้ที่นี้ครับ

  1. ถามเอง ตอบเอง - คุณต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า ทำไมคุณถึงอยากได้ความฝันนั้น เพราะว่าในการเดินตามความฝันมีจะต้องเจออุปสรรคแน่นอน...ดังนั้นคุณต้องรู้ก่อนว่า ทำไมคุณเองนะ ถึงอย่างได้สิ่งนี้
  2. โลภมาก - เลือกเลยครับ อยากได้ทั้งงานที่ชอบและเงินที่ใช่ เลือกมันทั้งคู่เลย หรืออยากได้มากกว่านั้น ก็เลือกเลยครับ
  3. ตั้งเป้าให้เร้าใจ - ถ้าตัวคุณเองยังไม่รู้สึกว่าตื่นเต้นกับเป้าหมายของตัวเอง ผมว่า มันคงจะไม่สนุกในเดินตามเป้าหมายนั้นหรอก จริงไหม?!?!
  4. เขียนมันลงไป - คงจะไม่มีสิ่งไหน ที่จะทำให้ความฝันกลายเป็นรูปธรรมเร็วที่ไปกว่าการเขียนหรอกครับ
  5. Begin with the end in mind - ข้อนี้เหมือนกับที่คุณ Stephen R Covey เคยกล่าวไว้ คุณต้องคิดหรือจินตนาการก่อนเลยครับว่า ความสำเร็จของคุณนะเป็นอย่างไร
  6. ลุย!!! - แม้มองไม่เห็นทาง แต่เราก็ต้องเดินหน้าต่อไปครับ แล้วหนทางจะเปิดให้กับคนกล้าที่กล้าจะก้าวเดิน
  7. สะสมความล้มเหลว - ข้อนี้ทำให้ผมรู้สึกสงบใจขึ้นมาเยอะเลย เพราะว่า คุณบอย บอกเลยว่าให้สะสมความล้มเหลวเหมือนฝาชาเขียวเลย แล้วคุณจะได้ประสบการณ์เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ
  8. จดและเชื่อในความสำเร็จ - เมื่อเราทำอะไรสำเร็จก็ให้จดได้ แล้วเราก็จะลงมือแบบสุดๆ แล้วก็จดความสำเร็จ มันจะเป็นวงจรแบบนี้ล่ะ
  9. สุขก่อน...สำเร็จก่อน - อย่าเอาความสุขไปไว้เฉพาะที่ปลายทาง เราควรที่จะมีความสุขในการเดินทางด้วยครับ
  10. ความเงียบคือเพื่อนที่ดี - หาเวลาอยู่กับตัวเอง นอกจากจะสุขทางใจแล้วปัญญาจะปรากฏและมีน้อยคนที่จะใช้ขุมปัญญานี้

***รูปจาก wiki, เนื้อหาจากหนังสือของคุณบอย (งานไม่ประจำ 2)***
Continue Reading...

Monday, October 6, 2014

Recommended Book: The Leader who had no Title by Robin Sharma

Cover's The Leader who Had No Title

For Thai version here

I bought this book from very simple reason that I used to read book from Robin Sharma and like it! That is “The monk who sold his Ferrari”, if I can found this book in my house, I will write a blog for you.

For “The Leader who had no Title”, I can say I am really enjoy when reading this book and get many knowledge from it. For the author, Robin Sharma, is leadership expert so many well known companies invite him for training such as Microsoft, GE, Nike, IBM, FedEx, etc. So his name can guarantee the knowledge that you will get after read this book. And I can guarantee again for enjoy when reading. :)

The story in this book will make you forgot that you are reading “how to” book. For exclusive summary, I can use this quote for summary this book.

"If a man is called to be a street sweeper, he should sweep streets even as a Michaelangelo painted, or Beethoven composed music or Shakespeare wrote poetry. He should sweep streets so well that all the hosts of heaven and earth will pause to say, 'Here lived a great street sweeper who did his job well."
Dr.Martin Luther King Jr.

(Warning: the content after this, I will spoil some story in this book)
When start reading, I did not expect enjoy with leadership book. Let’s me spoil you some chapter. 

“Blake steering this car away from the main road into the gravel. Through tall pines and a light fog floating on the surface. Then, he drives the car and park behind a black Porsche 911S  at Cemetery. After he went to the meeting point in front of two holes that just dig!?!?”

I will stop spoiling here with this quote. 

The most common way people give up their power is by thinking they don't have any
Alice Walker
Continue Reading...

Friday, October 3, 2014

กำลังใจดีๆ จากหนังสือ สองแขนที่กอดโลก - วินทร์ เลียววาริณ


แม้จะผ่านเวลาไปนานแล้วหลังจากที่ได้อ่านหนังสือสองแขนที่กอดโลก ของคุณวินทร์ เลียววาริณ หนึ่งในนักเขียนไทยชื่อดังที่มีผลงานให้อ่านกันเป็นประจำทุกปี จนแทบจะอ่านไม่ทัน ฮ่าๆ ผมก็ยังคงประทับใจหนังสือเล่มนี้ ไม่ว่าเป็นกำลังใจที่ได้ ความรู้ที่เกิดจากการอ่านแล้วรู้สึกว่า ตัวเองได้เปิดโลกเพิ่มขึ้นอีกนิด และบางทีก็มีเรื่องขำขันด้วย เช่น เรื่องนี้...(มีสปอย์นะครับ...)

เมื่อถูกถีบลงน้ำ 
ผมเล่าเท่าที่จำได้จากหนังสือนี้นะครับ ไม่ได้เขียนมาทั้งหมด เรื่องราวประมาณว่า มีเด็กผู้หญิงคนนึงตกลงไปในแม่น้ำที่เย็นมากๆ มีคนเห็นเหตุการณ์มากมาย มีไทยมุงก็เยอะ ในทันใดนั้นเองก็ผู้ชายคนหนึ่ง กระโดดลงไปช่วยเด็กน้อยคนนี้(ใจหล่อมาก)  หลังจากที่ทั้งคู่ขึ้นมาจากน้ำ ผู้คนก็เข้าไปชื่นชมกันใหญ่ และบอกว่า ฮีโร่ตัวจริง หล่อมากกกก และพระเอกของเราก็ตอบว่า 
"ใครบอกว่าผมกระโดดลงไป!!! ใครก็ไม่รู้แม่งถีบผมลงน้ำ!@#%$#^@#!"

แล้วคุณวินทร์ก็เล่าเนื้อหาต่อไปว่า ในชีวิตของเรานั้น บางครั้งก็จะเจอเรื่องโชคดีหลังจากที่ถูกถีบลงน้ำก็เป็นได้ เช่น ได้ซองขาวเชิญออกจากงาน ซึ่งสามารถเกิดได้กับทุกคน เช่น Steve Jobs ก็ยังเคยถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเอง ร่วมก่อตั้ง!?!? แต่หลังจากนั้นนานมาก เขาก็เล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นน่ะไม่รู้หรอกว่าการถูกไล่ออกจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเลย เพราะน้ำหนักที่กดดันจากความสำเร็จมันหายไปแล้ว ทำให้สามารถเริ่มต้นได้ใหม่

ดังนั้น ถ้าคุณถูกถีบลงน้ำ ขอให้คุณรักษาทัศนคติที่ดีในชีวิตไว้ให้ได้ครับ....และถ้าคุณคิดว่า คุณโชคร้ายที่เรื่องนั้น เรื่องนี้เกิดกับคุณแล้วล่ะก็ ผมขอเล่าเรื่องจากหนังสือสองแขนที่กอดโลก อีกเรื่องนึงนะครับ (จำแล้วเอามาเล่าอีกทีนะจีะ)

ชายผู้ที่ระเบิดปรมาณูหล่นใส่หัวถึงสองครั้ง
ชายคนนี้ชื่อ ยามากุจิ สึโตมุ เขาได้ไปทำงานที่เมืองฮิโรชิมาได้สัก 2 - 3เดือนแล้ว และในวันนี้เขาเดินทางกลับบ้านซึ่ง วันนี้เองที่เมืองฮิโรชิมาได้ถูกทิ้งระเบิดปรมาณูใส่ คุณยามากุจิ รอดมาได้แต่ก็ได้รับบาดเจ็บเยอะเหมือนกัน...อันนี้จำไม่ได้ครับว่า เจ็บที่ไหนบ้าง ซึ่งทำให้เขาตัดสินใจรีบเดินทางกลับไปที่เมืองนางาซากิเพื่อกลับไปบ้านเกิด และวันที่เขาเดินทางไปถึง...เมืองนางาซากิ ก็โดนลบไปโดยระเบิดปรมาณู และเป็นโชคของเขาก็เขายังอยู่ห่างจากเมือง ทำให้เขารอดตาย...ตอนหลังเขาเป็นคนที่เขียนหนังสือเล่าประสบการณ์อันเลวร้ายของระเบิดนี้ เพื่อเตือนชาวโลก

แล้วคุณวินทร์ เล่าให้ฟังประมาณว่า ชีวิตของเราแทบทุกคนต้องผ่านอุปสรรคกันบ้าง มากบ้าง น้อยบ้าง แต่ถ้าหากยังหายใจได้ ก็ใช้ชีวิตให้เต็มที่ และนี้ล่ะครับ คือ สิ่งที่ผมประทับใจจากหนังสือ ของคุณวินทร์ เลียววาริณ - สองแขนที่กอดโลก
Continue Reading...

Thursday, October 2, 2014

หาหัวข้อทำรายงาน ทำการบ้าน หรือหาเรื่องอะไรไป Present ดี?

เย็นวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังเดินทางกลับบ้าน โดยรถไฟใต้ดิน ก็ได้ยินเสียงคุยกันของน้องๆ เด็กๆ น่าจะเป็นม.ปลาย คุยกันอย่างจริงจังว่า "จะหาหัวข้ออะไรไปทำรายงานว่ะ แม่งโคตรกว้าง บร๊า บร๊าๆๆ" เท่าที่ไปเผือกแล้วจับใจความได้ว่า คะแนนรายงานนี้ไม่เยอะมาก แต่ได้มาง่ายๆ แค่ไปหาเรื่องที่น่าสนใจจากอินเตอร์เน็ตมาทำรายงานส่งก็จบ แค่นี้เอง แต่น้องก็คุยกันประมาณว่า เหมือนง่ายเนอะ เรื่องอะไรก็ได้ที่น่าสนใจ แต่เรื่องอะไรดีว่ะ!?!?

อืม...จริงๆว่าจะง่ายมันก็ง่ายนะ แต่ว่าพอผมมานั่งนึกความรู้สึกตอนที่ตัวเองอยู่ ม.ปลายบ้าง ตอนนี้มันก็คงจะนึกไม่ออกล่ะว่าจะ search เรื่องอะไรไปทำดี เพราะถ้าคุณลองไปนั่งนึกดูตอนเราเป็นเด็กๆ สิ่งที่ search กันก็คงจะเป็น "ผลบอล รอบหนัง การ์ตูน เกมส์..." คืือ มันก็มีแต่เรื่องไร้สาระล่ะ เพราะตอนนั้นก็ยังไม่มีเรื่องอะไรให้คิดมากเนอะๆ

เอาล่ะ เมื่อผมล่วงกาล ผ่านวัยมากึ่งนึงแล้ว วันนี้ก็เลยจะแนะนำ น้องๆ หรือใครที่กำลังหาหัวข้อ ทำรายงาน การบ้าน หรือหัวข้ออะไรก็ได้ไป present

Bill Clinton ในงาน TED Talks ปี 2007

TED Talks
TED Talks นี้ดังมากที่ อเมริกาครับ เขาจัดกันมาตั้งแต่ 1984 หรือ พ.ศ. 2527 กันแล้วววว งานนี้จะให้คนเก่ง คนดัง หรือดังมากๆๆๆ ไปพูดให้ฟัง โดยมีเวลาให้คนละ 18 นาทีเท่านั้น คนที่พูดมีแม้กระทั่งนักการเมืองระดับโลก อย่าง Bill Clinton นักดนตรีขั้นเทพอย่าง Tommy Emmanuel.

TED ย่อมาจาก Technology, Entertainment and Design ใน TED จะมีหลายหัวข้อมากๆให้เราไปฟังกัน และหลายๆอันก็ได้กำลังใจและความรู้ดีมากๆด้วยครับ เอาล่ะ จริงๆ ผมเคยเล่าเรื่อง TED ไปแล้วครั้งนึง จาก เรื่อง "แจเน็ต ซาดิก-คาห์น (Janette Sadik-Khan) คนสำคัญที่ทำให้ถนนในนิวยอร์คซิตี้ดีขึ้นมาก"

ไปดูกันได้ครับน่าจะเป็นไอเดียกันทำรายงานได้บ้าง ไว้วันหลังผมจะมาเล่า หัวข้ออื่นใน TED เพิ่มอีกนะ อ้อ ถ้าใครอยากดูเองแต่กลัวฟังไม่รู้เรื่อง TED มีกลุ่มคนไทยช่วยกันใส่ Sub title ไว้ด้วยนะครับ สำหรับ เรื่องที่น่าสนใจ



หนังสือดีๆ
ใน blog นี้ผมเล่าหนังสือดีๆไปหลายเลยครับไปลองหาอ่านกันดู แต่ทีนี้จะเลือกเล่มไหมดี แล้วรู้ได้ไงว่ามันจะดี หรือน่าสนใจ? อันนี้ผมมีคำแนะนำง่ายๆครับ ไปดูยอดขาย กับ ปีที่พิมพ์ก็ได้ เช่นบางเล่มนี้อยู่มานานกว่า 10 - 20 ปีแล้ว ก็ยังพิมพ์อยู่เรื่อยๆ หรือคนยังหาซื้อกันอยู่ อันนี้ผมหมายถึง หนังสือที่ให้ความรู้นะ ไม่ได้นิยายหรือการ์ตูน แนะนำบางเล่ม เช่น เศรษฐีชี้ทางรวย หรือ The Richest Man in Babylon เล่มนี้ตีพิมพ์ครั้งแรก ปี 1926 หรือ พ.ศ. 2469 เลยครับ หรือเล่มนี้ก็น่าสนใจเหมือนกัน ไม่ครบห้า ซึ่งคนน่าจะรู้จักเล่มนี้เยอะแล้ว

ที่ตั้งประเทศ Sealand จาก Wikipedia


Wikipedia
ในนี้มีทุกเรื่อง แต่จะหาเรื่องอะไรอันนี้ ยอมรับว่ายากจริงๆครับ แนะนำเรื่องน่ารุ้ให้เรื่องนึง ไปแย่งกับเพื่อนๆ ทำรายงานเองนะครับ ประเทศ Sealand ฮ่าๆ รู้จักกันไหม อิอิ ไปลองอ่านดูครับ สนุกดี


แลร์ด แฮมิลตัน

ประวัติบุคคลที่น่าสนใจ
อันนี้ผมว่าดีมากเลยนะครับ ถ้าน้องๆ สนใจนักกีฟัาคนไหน ก็ลองไปหาประวัติเขาไปทำรายงานก็ได้ แต่ผมแนะนำว่า เขาต้องดังมากๆ และควรจะเป็นตำนานเลย เอาไปไปทำเป็นหนังแล้ว แบบนี้อาจารย์น่าจะให้ทำได้นะ เช่น คนนี้เลยครับ แลร์ด แฮมิลตัน นักเล่นกระดานโต้คลื่นระดับโลก ดังจนทำเป็นหนังแล้ว


ถ้าอยากให้เล่าเรื่องไหนก็ลองทิ้ง comment ไว้นะครับ ถ้ารู้จะมาเล่าให้ฟัง ขอบคุณ หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อย
Continue Reading...

Wednesday, October 1, 2014

The Richest Man in Babylon by George S. Clason [Part 2]



This article is the second article in series of “The Richest Man in Babylon” book. For the first article, please see this link.




The Richest Man in Babylon
In Babylon, these is one who is very rich man named Arkad. Sometime, the governor in Babylon has to borrow some gold from Arkad. However, Arkad is not rich when he was born. He did not a genius guy. So his old friends assume that he is the luckiest guy that god make him become a rich man. However, he just use some easy tip.

“I decided that a part of all I earned was mine to keep."


So you have to keep 1 from 10 of your earned. Then in 10 years, you will have more than one year’s gold. After that, you have to make them (gold) work for you.  You have to invest your gold to make them growth. However, if you want to invest, please make sure that you invest with the right person. For example, if you want to invest in gem, you need the person who understand gem. But Arkad used to learn investment lesson by invest in gem with person who build bricks. So he lost his gold because the guy who build bricks was deceived because he is not totally understand the gem.


The tales story that use Babylon as background in this book, you can enjoy with learning the investment lesson. I recommended you this book for investment then you will understand why this book still published since 1926 unit nowadays.



Continue Reading...

The Richest Man in Babylon by George S. Clason


In those things toward which we exerted our best endeavors we succeeded.
George S. Clason, The Richest Man in Babylon

Cover of this book from Wikipedia


If you are searching for investment or finance books, you should read “The Richest Man in Babylon by George S. Clason” too. This book is a classic book and you will enjoy and inspire when reading this book. Enjoy and Inspire with investment book!?!?

The History of “The Richest Man in Babylon”
This book was published first time in 1926. (Yes, 1926) It’s very old! So it has many cover version. So exclusive summary of this book. For those who are ambitious and want to succeed financially. Let’s start.



The Man Who Desired Gold
For the first chapter of this classic book, the story start at Bansir who is one of the best chariot builder of Babylon. The person can bought his chariot must be millionaire, nobles or the governor. And his friend, Kobbi who is the best musician in Babylon. However, those two guys are sitting and discuss with stressful. Why they don’t have money left even though they are working hard and get the good return eventime? After the discussion, they decided to ask for the advice from “The Richest Man in Babylon”.


Continue Reading...

หนังสือแนะนำ: ผู้นำไร้ตำแหน่ง (The Leader who had no Title by Robin Sharma)

"จุดที่เสี่ยงที่สุด คือ การทำอะไรเดิมๆ ด้วยวิธีเดิมๆ แบบที่เธอทำประจำ แทบไม่มีอะไรโง่เขลาได้เท่าการหวังว่าพฤติกรรมเดิมๆ จะทำให้เกิดผลใหม่ๆ"
จากหนังสือ ผู้นำไร้ตำแหน่ง




For English version here


ผมซื้อหนังสือเล่มนี้มา ด้วยเหตุผลง่ายๆว่า "ผมเคยอ่านหนังสือเล่มอื่นของ Robin Sharma" แล้วชอบ! เล่มที่ผมเคยอ่าน คือ "เขาขายเฟอรารี่ทิ้ง ค้นพบชีวิตที่แท้จริง" (The Monk Who Sold His Ferrari) ไว้ผมหาหนังสือเจอแล้วจะมาเล่าให้ฟังอีกทีนะครับ

สำหรับหนังสือ "ผู้นำไรตำแหน่ง"นั้น  ผมบอกได้เลย ว่า สนุกมาก และได้ความรู้เยอะด้วยครับ ซึ่งตัวผู้เขียน คือ "โรบิน ชาร์มา (Robin Sharma)" เป็นหนึ่งในผู้ให้คำปรึกษาด้านความเป็นผู้นำที่มีชื่อเสียงมาก มีหลายบริษัทที่เชิญเขาคนนี้ไปให้คำปรึกษาด้านความเป็นผู้นำ ตัวอย่างเช่น Microsoft, GE, Nike, IBM และ FedEx ดังนั้นเรื่องสาระนั้นเป็นรับการการันตีจากชื่อเสียง ส่วนความสนุกนั้น ผมขอยืนยันอีกเสียงครับ

เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้จะเล่าเรื่อง ถึงตัวละครที่มีชื่อว่า เบลก เดวิส เป็นตัวเอกในการดำเนินเรื่อง ที่สนุกสนานน่าติดตาม และคุณอาจจะลืมไปว่านี้เป็นหนังสือที่ถูกจัดให้อยู่ในหมวด How to

สำหรับสาระเนื้อหา ถ้าจะให้สรุปเรียบง่ายที่สุด ผมขอใช้ประโยคสุดคลาสสิกของ ดร. มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ส่วนรายละเอียดไปอ่านกันเอาเองนะครับ อิอิ

ถ้าชายคนหนึ่งถูกเรียกว่าคนกวาดถนน เขาควรกวาดถนนแบบไมเคิลแอนเจโลวาดภาพ บีโธเฟ่นแต่งเพลง หรือเชกเปรียร์ประพันธ์กวี เขาควรกวาดถนนอย่างเยี่ยมยอดจนเหล่าเทพยดาต่างหยุดเพื่อกล่าวว่า "นี่คือคนกวาดถนนผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำงานของเขาได้เป็นอย่างดี"
Dr.Martin Luther King Jr.



(คำเตือน: ผมจะสปอย์บางส่วนของหนังสือเล่มนี้นะ!!!)
แต่ๆ จุดเด่นของหนังสือเรื่องนี้ คือ ความสนุก เอาเป็นว่า ผมไม่ได้คาดหวังหรือ คาดคิดเลยว่า หนังสือเกี่ยวกับความเป็นผุ้นำจะมีการดำเนินแบบนี้ คือ ไปเรียนรู้กันที่สุสาน!?!? แถมยังเป็นตอนตีสี่กว่าๆ เรื่องราวในหนังสือประหนึ่งหนังภาพยนต์ ผมขอสปอย์นิดหนึ่ง

"เบลกหักพวงมาลัยออกจากถนนหลักเข้าสู่ทางลูกรัง ผ่านต้นสนสูงๆมีหมอกจางๆลอยอยู่บนพื้น แล้วพระเอกก็ขับมาจอดรถหลัง พอร์ช 911S สีดำที่สุสาน หลังจากนั้น เขาเดินไปจุดนัดพบที่อยู่หน้าหลุมที่เพิ่งขุดใหม่ๆ สดๆ สองหลุม!?!?"

ผมขอหยุดสปอย์ไว้แค่นี้นะครับ และขอจบบทความนี้ด้วยคำพูดนี้ครับ


วิธีการส่วนใหญ่ที่ผู้คนใช้เพื่อสละอำนาจของตนคือ การคิดว่าตนไม่มีอำนาจ
(The most common way people give up their power is by thinking they don't have any)
Alice Walker



Continue Reading...

If you’re exhausted, I recommend this song for you.


Because we believe that song can change people so today, I would like to share you some song that can inspirited you. And it might wake up your dream. I recommend your watch music video too. This time, I want to share songs from "The Script"


Hall of Fame (2012)

The Script - Hall Of Fame Feat. Will.I.Am



Superheros
The Script - Superheroes


Continue Reading...

คนที่กำลังจะหมดไฟ ผมอยากให้มาฟังเพลงนี้กัน


เพราะเราเชื่อว่าดนตรีเปลี่ยนคนได้ ในวันนี้ผมอยากแนะนำเพลงที่จะเพิ่มขวัญและกำลังใจให้คุณ เพลงๆนี้อาจจะไปปลุกความฝันที่หลับไหลอยู่เป็นได้ แนะนำให้นั่งดู music video ด้วยนะครับ

The Script (image from Wikipedia)


ครั้งนี้อยากจะแนะนำเพลงของ The Script แล้วกัน ซึ่งหลายๆคนน่าจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว 

Hall of Fame (2012)
ความหมายเพลง Hall of Fame from The Script คราวๆ คือ คุณสามารถที่จะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ จะเป็นคนที่เทพสุดๆก็ได้ คุณสามารถชนะโลกทั้งใบ ชนะสงครามก็ยังได้ ไม่ต้องรอโชคชะตา ไปไขว่คว้ามันด้วยตัวเองเลย และคุณจะพอว่า คุณมายืนอยู่บนหอคอยแห่งเกียรติยศแล้ว โลกนี้ก็ต้องรู้จักชื่อของคุณ!!!
คุณสามารถไปได้ไกลแสนไกล วิ่งได้เป็นกิโลๆ แม้กระทั่งเดินผ่านขุมนรกพร้อมกับรอยยิ้มก็ยังทำได้ คุณจะเป็นฮีโร่ จะคว้าเหรียญทอง ทำลายสถิต

ทำเพื่อผู้คน ทำเพื่อศักดิ์ศรีของคุณเอง คุณไม่มีวันรู้จนกว่าจะลอง!!! จงทำเพื่อประเทศ ทำเพื่อชื่อของคุณ เพราะต้องมีสักวันนนนนน......ที่คุณจะไปยืนใน Hall of Fame เย้ๆๆๆๆ ไปฟังกัน


The Script - Hall Of Fame Feat. Will.I.Am



อีกเพลงก็เป็นของ The Script เช่นกัน

Superheroes
ความหมายของเพลง Superheroes คราวๆ จะเล่าถึง ผู้ชายคนนึงที่ทั้งชีวิตของเขา มีแต่คนพูดว่า เขาไม่มีค่าอะไรเลยจนเขาแก่ตัวลง เขาไม่เคยแสดงความสามารถอะไรเลย แต่ว่าเขานั้นแข็งแกร่งกว่าที่ใครรู้ และหัวใจอันแกร่งกล้าก็เริ่มเติบโต

ทุกๆคนเจ็บปวด ทุกคำโกหก ทุกๆหยาดหยดน้ำตาที่พวกเขาได้ร้องไห้ เมื่อห้วงเวลานั้นมาถึง คุณจะได้เห็นเปลงไฟในดวงตาพวกเขา

เมื่อคุณได้ต่อสู้มาตลอดทั้งชีวิต เมื่อคุณล้มลุกคลุกคลานเพื่อทำให้มันดีขึ้น นี้ล่ะคือเส้นทางที่ Superheroes จะโบยบิน จงเปลี่ยนความเจ็บปวดมาเป็นพลัง...ไปชมกันครับ

The Script - Superheroes



Continue Reading...

Followers

Tags