HeaderAd

Tuesday, December 16, 2014

เปลี่ยนวิธีการหายใจ แล้ววิ่งดีขึ้น


วันนี้ผมจะมารายงานผลการทดสอบการวิ่ง หลังจากที่ผมลองฝึกวิธีการหายใจซึ่งได้เล่าให้ฟังไปแล้วไปในคราวที่แล้ว ตอนนี้ลองหายใจแบบใหม่ไปได้แค่ 2 อาทิตย์น่ะ เอาล่ะมาดูกันเลยว่าผลจะเป็นอย่างไร

เปลี่ยนวิธีการหายใจ แล้ววิ่งดีขึ้น
ตอนนี้ผมวิ่งโดยพยายามให้สนใจที่วิธีการหายใจ โดยจะหายใจโดยใช้ท้อง เพื่อที่จะให้ "หายใจได้ยาวขึ้น และหายใจได้ลึกขึ้น" สิ่งที่รู้สึกในตอนแรกเลยคือ รู้สึกว่าวิ่งช้าลง แต่ว่าพอผมไปดูเวลาจริงๆก็พบว่าใช้เวลาเท่าเดิมน่ะ แต่รู้สึกว่าไม่เหนื่อยเท่าเดิมแล้ว ซึ่งอาจจะเป็นเพราะผมรู้สึกว่าไม่เหนื่อยก็เลย คิดว่าวิ่งช้า หลังจากผ่านไป 1 อาทิตย์ก็ลองเร่งความเร็วดู โดยพยายามหายใจโดยใช้ท้องเป็นหลักเหมือนเดิม ผลก็คือ วิ่งเท่าเดิมแต่ใช้เวลาเร็วขึ้น และเหนื่อยน้อยกว่าก่อนฝึกหายใจนิดหน่อยครับ

สิ่งที่เจอระหว่างฝึก
เวลาที่ผมวิ่งแล้วพยายามพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การหายใจ บางครั้งจะลืมยกขาให้สูงขึ้น เวลาที่วิ่งเจอกับพื้นไม่เรียบ ทำให้วิ่งแล้วสะดุดครับ!!! อันนี้เลยฝากมาเตือนกันสำหรับคนที่วิ่งแล้วทางวิ่งไม่ค่อยเรียบครับ

สรุป
วิธีการหายใจโดยใช้ท้องมีผลต่อการวิ่งของผมจริงๆ ซึ่งทำให้อึดมากขึ้นครับ ถ้าเพื่อนๆคนไหนมีวิธีการอะไรดีๆก็มาแนะนำกันได้น่ะครับ ขอบคุณครับ

ขั้นต่อไป อิอิ เป้าหมายมีไว้พุ่งชม  step ต่อไปของผมคือ พยายามก้าวขาให้กว้างขึ้น เพราะตอนนี้แต่ละก้าวยังไม่กว้างนัก เดี๋ยวลองแล้วได้ผลเป็นอย่างไรจะมา update ให้ฟังครับ
Continue Reading...

Wednesday, December 3, 2014

ตอนวิ่งต้องหายใจทางปากหรือ ทางจมูกดีกว่ากัน?


พอวิ่งบ่อยๆเข้าจนเป็นเรื่องในชีวิตประจำวันเสมือนการอาบน้ำ แปรงฟัน แล้วถ้าวันไหนไม่ได้ทำ ก็จะรู้สึกหงุดหงิด ฮ่าๆๆๆ แล้วอยู่ๆก็นึกถึงเรื่องที่ลืมคิดไป นั่นก็คือ "การหายใจ" เพราะตอนที่วิ่งจะมีทั้งหายใจด้วยปากและด้วยจมูก ก็เลยอยากรู้เหมือนกันว่า เราควรหายใจด้วยปากหรือจมูกจะดีกว่ากัน วันนี้เลยไปนั่งอ่านข้อมูลแล้วเอามาแชร์กัน

วิ่งแล้วควรหายใจ ทางจมูกหรือทางปากดี
จากที่ไปค้นคว้ามา ถ้าเป็นนักวิ่งเก่าๆบางคน จะมีความเชื่อและสอนกันเลยว่า ควรบังคับให้หายใจทางจมูกอย่างเดียว อันนี้ผมไม่ทราบเหตุผลของเขาน่ะ แต่เรามาดูปัจจุบันกันดีกว่า

หายใจทางจมูก แตกต่างจากหายใจทางปากอย่างไร
จริงๆทางการแพทย์จะหายใจด้วยปากหรือจมูก ปอดก็ได้อากาศเหมือนกันครับ เพราะท่อนำอากาศไปที่ปอดก็เชื่อมกันระหว่างหลังโพร่งจมูกกับด้านหลังของปาก แต่การหายใจจากจมูกจะมีข้อดีกว่าสองข้อ คือ มีขนจมูกช่วยกรองฝุ่นละอองต่างๆ และ เส้นเลือดฝอยในจมูกจะช่วยปรับอุณหภูมิ ซึ่งตอนที่เราวิ่งนั้น ไม่จำเป็นต้องไปปรับอุณหภูมิให้อุ่นขึ้นก็ได้ เพราะร่างกายเราร้อนอยู่แล้ว แต่ฝุ่นละอองถ้ากรองได้จะดีมากกว่าครับ

สิ่งที่ต้องสนใจสิ่งแรก ไม่ใช่หายใจทางจมูก หรือหายใจทางปาก
ตอนนี้เท่าที่อ่านหลายๆเวป ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ จะให้ focus หรือพุ่งความสนใจไปที่ "วิธีการหายใจ" เป็นสิ่งแรก ซึ่งเราต้องหายใจให้ถูกวิธี นั่นคือ หายใจด้วยท้อง หรือ กระบังลมที่ท้อง โดยเราจะสามารถสังเกตุบริเวณท้อง ถ้าหายใจเข้า หน้าท้องต้องโป่ง และถ้าหายใจออก หน้าท้องจะต้องยุบ

ต่อจากนั้น ให้พยายาม"หายใจให้ยาว" คือ แทนที่เราจะหายใจเข้า-ออกเร็วๆ เราจะเหนื่อยเร็วกว่า การที่จะหายใจเข้า-ออก ช้าๆ แต่ยาวกว่าครับ อันนี้ผมกำลังฝึกอยู่เหมือนกัน เพราะวิ่งไปแปปเดียวก็จะลืม! แล้วก็กลับไปหายใจเหมือนเดิม ฮ่าๆๆๆๆ

แต่เราก็ยังต้องสนใจหายใจทางจมูก และทางปากด้วย
การหายใจทางปากเป็นกลไกตามธรรมชาติที่ร่างกายกำลังบอกเราว่า "ขออากาศ!!! PLEASE" ตอนที่เราเริ่มวิ่งก็ควรหายใจทางจมูก เพราะอย่างน้อยก็ช่วยกรองฝุ่น แล้วพอวิ่งไประยะหนึ่งแล้วรู้สึกว่า ต้องเริ่มหายใจทางปาก แสดงว่า "ร่างกายได้รับอากาศไม่พอ" เลยต้องการอากาศเพิ่ม สำหรับตัวผมเองน่ะ มันแปลง่ายๆว่า "เราอาจจะลืมตัว ไม่ได้หายใจด้วยท้องเลยได้อากาศไม่พอ" หรือ "ไม่ได้หายใจลึก หรือหายใจให้ยาว" หรือ "เหนื่อยแล้วจริงๆ" เท่าที่ลองมาด้วยตัวเอง ก็จะมี 3 กรณีที่ต้องหายใจด้วยปากครับ

สรุป
หายใจด้วยท้อง - สิ่งแรกที่เราต้องสนใจเลย คือ วิธีการหายใจนั่นเอง คือ หายใจด้วยท้อง เพราะการหายใจด้วยท้อง เราจะสามารถฝึกต่อให้ "หายใจให้ยาว หรือหายใจให้ลึกขึ้น"
สังเกตุเมื่อหายใจด้วยปาก - ถ้าเราเริ่มใช้ปากหายใจ ให้สังเกตุว่าเราเหนื่อยจริงๆ หรือว่าเราเองที่ลืมตัวแล้วหายใจผิดวิธีเลยทำให้ร่างกายเราได้รับอากาศไม่พอ

Updated: รายงานผลการวิ่งหลังจากที่เปลี่ยนวิธีการหายใจครับ และถ้าเพื่อนคนไหนมีเทคนิคอะไรดีๆ มาแนะนำและแชร์กันเลยครับ
Continue Reading...

Monday, December 1, 2014

เมื่ออยากวิ่งให้สนุก จนเผลอไปเกรียนใส่คนอื่น?!?!


พอการวิ่งเริ่มกลายเป็นส่วนนึงในชีวิตประจำวัน เฉกเช่น การอาบน้ำ แปรงฟันหลังตื่นนอน ทำให้ตัวผมเองก็อยากสนุกกับการวิ่งทุกครั้งถ้าสามารถทำได้ จนบางทีก็เล่นสนุกโดยการไปวิ่งตามไปนักวิ่งคนอื่น ทั้งๆที่ไม่รู้จักกัน?!?! และจากประสบเกรียนของผม สามารถบอกได้เลยว่า การทำแบบนี้(วิ่งตามคนอื่น) มันก็มีทั้งนักวิ่งที่ชอบและนักวิ่งที่ชอบมากๆครับ เลยจะมาเล่าให้ฟังกัน อิอิ

ทำไมเราต้องวิ่งตามคนอื่น
ขอออกตัวก่อนน่ะ การไปวิ่งตามชาวบ้านบ่อยๆน่ะ ไม่ดี เข้าใจตรงกันน่ะ แต่ที่ทำหรือเกรียนเป็นบางครั้ง เพราะผมอยากวิ่งให้สนุกๆบ้าง เหตุผลก็คือ ถ้าเราไปวิ่งคนเดียว เราอาจจะตั้งเป้าหมายว่า วันนี้จะวิ่ง 10 km น่ะ แต่ถ้าเราไปวิ่งตามคนอื่นแล้วเราไม่รู้เลยยยยยย ว่าท่านพี่จะวิ่งไปนานแค่ไหน ไกลเท่าไร ผมว่ามันเป็นวิ่งที่วัดใจมากกกกกกก ฮ่าๆๆๆๆ อารมณ์คงจะคล้ายๆกับเราไปวิ่งในฟิตเนส ตอนที่เราวิ่งคนเดียวเราก็วิ่งเท่าที่ตั้งใจแล้วก็หยุด แต่พอมีคนมาวิ่งข้างๆ หลายๆครั้งเราจะกลัวเสียฟอร์ม เราเริ่มหลังเขา ทำไมเราถึงหยุดวิ่งก่อนล่ะ ถ้าใครเข้าไปวิ่งไปฟิตเน็ต คงจะเข้าใจความรู้สึกนี้เป็นอย่างดี ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

คำเตือน ก่อนที่คุณจะไปวิ่งตามชาวบ้าน
ทางที่คุณไปวิ่ง -  เส้นทางที่คุณไปวิ่งน่ะ มันมีลักษณะเป็นลู่วิ่งที่เราต้องวิ่งทางนี้อยู่แล้ว เช่น ทางในสวนลุมฯ หรือว่าเราไปวิ่งในหมู่บ้าน ถ้าคุณไปวิ่งตามคนอื่นในหมู่บ้าน อันนี้ผมไม่เห็นด้วย และไม่แนะนำถ้าคุณไม่รู้จักเขาน่ะครับ เพราะมันดูอันตรายไป ลองนึกดูว่า อยู่ๆมีใครก็ไม่รู้มาวิ่งตามเราในหมู่บ้าน ฮ่าๆๆๆๆๆ แต่ถ้าเป็นทางวิ่งที่สวนลุมฯ หรือที่สวนหลวง ทางมันค่อนข้างบังคับระดับนึงเลยว่าต้องไปทางนี้ มันไม่ค่อยมีทางแยก อันนี้ผมว่ายังพอรับได้น่ะ

ทิ้งระยะให้ห่างๆก็ได้ - ที่ผมบอกว่าไปวิ่งตาม ไม่ใช่ไปวิ่งประกบติด แบบในหนังขับรถประกบ ประเภทกันชนเกือบจะจูบกันอยู่แล้ว เวลาไปกำหนดว่า วันนี้ผมอยากจะวิ่งให้ได้เท่าพี่เขา ผมจะตามในระยะสายตา คือ ห่างกันเยอะเลยน่ะ อาจจะมีเราเร่งให้ใกล้เข้าไปอีกบ้าง หรือผ่อนบ้าง เอาเป็นว่าถ้าเป็นคุณเอง คุณจะสบายไหมถ้ามีคนมาวิ่งตามใกล้ๆ ดังนั้นเราอยู่แค่พอมองเห็นเขาก็พอครับ จะห่าง 500 เมตรเลยก็ยังได้

ขอให้คุณสนุกกับการเกรียน...เอ๊ย การวิ่งน่ะครับ แล้วบางทีคุณอาจจะแปลกใจว่า จริงๆแล้วเราเองก็วิ่งได้เยอะเหมือนกันน่ะ เพียงแต่เราไปหยุดก่อนเองก็แค่นั้น

ปล. ถ้าผมเคยไปวิ่งตามใครแล้วไม่ชอบ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ (^人^)
Continue Reading...

Wednesday, November 26, 2014

ลงแข่งขันก็เพื่อชัยชนะ แต่ถ้าคุณถูกห้ามแข่ง เพราะเขากลัวคุณชนะล่ะ?!?!


ปกติเราลงแข่งขันวิ่งก็เพื่อเอาชนะ ไม่ว่าจะเป็นเอาชนะตัวเอง หรือเอาชนะคู่แข่งเพื่อได้ขึ้นชื่อว่าเป็นที่หนึ่ง ซึ่งการเอาชนะแบบหลังนั้น ต้องมีการเตรียมพร้อมและฝึกซ้อม ที่หนักกว่ามากๆ และถ้าคุณซ้อมมาทั้งปีหรือหลายๆปี แล้วมีคนมาบอกคุณว่า "เธอช่วยไม่ลงแข่งได้ไหม? เพราะถ้าเธอลงเดี๋ยวเพื่อนจะไม่ชนะ!!!"

สิ่งที่ผมจะเล่าต่อไปนี้คือเรื่องจริงที่ยิ่งว่านิยายที่นำมาฉายเป็นละครหลังข่าว มันเป็นเรื่องราวของชายผู้มีต้นทุนชีวิตที่ต่ำ แต่หากมีศรัทธาชีวิตที่สูง และผมหวังเรื่องราวของเขาจะทำให้คุณมีแรงใจในการลุกขึ้นวิ่งไปสู่ความฝัน


"ไล่ตงจิ้น" ชายผู้เคยถูกขอไม่ให้เข้าแข่ง เพราะเดี๋ยวจะชนะอีก
ก่อนที่จะไปฟังเหตุการณ์ที่ไล่ตงจิ้นไม่ได้เข้าแข่งวิ่ง เราลองมาดูประวัติชีวิตของเขาสั้นๆกันก่อน ไล่ตงจิ้นเกิดมาในครอบครัวที่.................ที่ผมก็ไม่รู้จะว่าหาคำอะไรมาบรรยาย เพราะครอบครัวของเขามีสมาชิกทั้งหมด 14 คน เขามีพี่น้องทั้งหมด 12 คน ครบโหลพอดี ซึ่งมีพี่ชายคนโตและคุณแม่ปัญญาอ่อน และเหมือนสวรรค์ต้องการทดสอบความอดทนของยอดมนุษย์คนหนึ่ง คุณพ่อของไล่ตงจิ้นก็เป็นขอทานพเนจร ที่ตาบอด!!! ทำให้เขาต้องเป็นเสาหลักของบ้านด้วย

ที่กล่าวข้างต้น คือสถาพครอบครัวของไล่ตงจิ้นในตอนที่เกิด แต่เขาไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา พยายามทำทุกอย่าง เพื่อทำให้ชีวิตก้าวหน้า...เช่น หัดเขียนหนังสือบนแผ่นดินด้วยกิ่งไม้ เพราะไม่รู้จะไปหากระดาษกับดินสอจากไหน หัดเขียนจนชนะเลิศการคัดลายมือ สุดยอดมากๆ และแน่นอนครับ เมื่อเขาได้มีโอกาสที่จะลงแข่งขันวิ่ง เขาก็ซ้อม ซ้อม แล้วก็ซ้อมจนสามารถชนะการแข่งขันวิ่งได้ และหลังจากที่ชนะบ่อยๆ ก็เลยเกิดเหตุการณ์ตามที่กล่าวไปในตอนต้น คือ คุณครูขอไม่ให้ขอแข่งขัน เพราะถ้าไล่ตงจิ้นเข้าแข่ง เพื่อนๆจะไม่ชนะ เหอะๆ จริงๆ เรื่องราวก่อนที่ไล่ตงจิ้นจะเข้าเรียนได้เนี่ย ต้องต่อสู้มามากมายเลยครับ ถ้าเขียนแล้วบทความจะรันทดมาก ถ้าเป็นหนังก็ dark สุดๆ แต่คุณจะกำลังใจแน่นอน ดังนั้นผมขอแนะนำให้คุณไปหาหนังสือไล่ตงจิ้นมาอ่านเอง เพื่อรายละเอียดและอรรถรสที่ครบถ้วน พร้อมๆกับเสียน้ำตา หลังจากอ่าน เราไปวิ่ง วิ่ง วิ่ง แล้วก็วิ่งกันเถอะครับ

ปล. หนังสือเล่มนี้ผมเคยเขียนแนะนำไว้นานมากแล้วที่นี้ครับ [หนังสือแนะนำ ไล่ตงจิ้น]
Continue Reading...

Monday, November 24, 2014

อยากวิ่งให้ไกลขึ้นไหม? ก็ตั้งเป้าหมายให้ไกลขึ้นซิ



วันนี้คุณอาจจะออกไปวิ่งเพื่อสุขภาพ แต่เมื่อวานคุณอาจจะวิ่งเพื่อคลายเครียด หรือเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาคุณไปวิ่งเพื่อลดน้ำหนักเพราะเพิ่งไปจัดหนักมาในวันศุกร์และเสาร์ ฮ่าๆๆๆๆๆ ไม่ว่าคุณจะออกไปวิ่งด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม คุณอยากจะวิ่งให้ไกลขึ้นไหม หรืออยากวิ่งให้ได้ระยะทางมากกว่าเดิมไหม? พอดีว่าผมเองน่ะ อยากมากครับ ด้วยเหตุผลง่ายๆเพราะ รู้สึกและมโนนิดหน่อยว่า วิ่งแล้วหน้าท้องหาย รู้สึกว่าหุ่นดีขึ้น!?!? ฮ่าๆๆๆๆๆ ผมก็เลยไปถามพี่ๆที่เขาวิ่งเยอะๆ พี่เขาซ้อมวิ่งละ 20 km เป็นอย่างน้อย สำหรับผมแล้วยังไม่ถึงครึ่งของพี่เขาเลยครับ ผมถามพี่เขาด้วยคำถามง่ายๆว่า

หลักข้อเดียวที่จะทำให้วิ่งได้ไกลขึ้น คืออะไร
และนี้คือคำตอบที่สั้นมาก "ก็ตั้งเป้าหมายให้ไกลขึ้นซิว่ะ(ครับ)!!!"  อืม...ฟังเสร็จก็ติด stun ครับ ง่ายๆแค่นั้นเลยเหรอ ก็เลยของคำตอบเวอร์ชั่นยาวๆหน่อย อิอิ จริงๆเรื่องการตั้งเป้าหมายเนี่ย มันเป็นสิ่งสำคัญมาก สำหรับองค์กรหรือบริษัทครับ คุณเองสังเกตุดูซิ ผู้บริหารเขาจะออกมาตั้งเป้าหมายในแต่ละปี หรือในแต่ละเดือน ซึ่งเป้าหมายที่พวกผู้ใหญ่หรือผู้บริหารตั้งมานั้น สูงอยู่แล้ว และหลายๆครั้งคนส่วนมากคิดว่าสูงไป! แต่ผลลัพธ์หลายครั้ง กลับทำให้ประหลาดใจกว่า คือ "เราไปถึงเป้าหมายครับ"

ฝรั่งจะมีสำนวณเลยว่า "You Get What You Measure" คุณวัดผลอะไร คุณก็จะได้สิ่งนั้น ในการเรื่องของวิ่งก็เหมือนกัน ถ้าคุณตั้งเป้าไปเลยว่า "วันนี้จะไปวิ่งให้ 10 km!!!" คุณมีแนวโน้มว่าจะไปวิ่งได้มากกว่าการตั้งเป้าหมายว่า "วันนี้จะวิ่งจนเหนื่อย" แล้วไอ้การตั้งเป้าหมายแบบที่สองมันจะวิ่งไปได้ไกลจริงๆเหรอ? เพราะการวิ่งน่ะมันเหนื่อยอยู่แล้ว แต่คุณจะหยุดหรือเปล่าก็แค่นั้นเอง ดังนั้นถ้าคุณอยากลดน้ำหนัก หรืออยากวิ่งให้ได้ระยะทางไกลขึ้น วันนี้เราลองมาตั้งเป้าหมายให้สูงๆกัน

ไป...ออกไปวิ่งกันเลย สู้ สู้!!!
Continue Reading...

Friday, November 21, 2014

ดร.แกรี่ กรีนเบิร์ก (Dr. Gary Greenberg): เรียนรู้โลกจากเม็ดทราย

"เมื่อเรากำลังเดินบนพื้นทรายนั้น จริงๆแล้วเรากำลังเดินอยู่บนประวัติศาสตร์
เป็นล้านๆปีของชีววิทยาและธรณีวิทยา"
แกรี่ กรีนเบิร์ก


เม็ดทรายจากเกาะเมาวี (MAUI)
เวลาที่ผมนั่งดู TED Talk แล้วรู้สึกประทับใจ โดยส่วนมากจะมาจากนักพูดที่พูดให้กำลังใจและแรงบันดาลใจอยู่แล้ว แต่ว่าคราวนี้ผมกลับประทับใจกับคุณแกรี่ กรีนเบิร์ก (Gary Greenberg) ซึ่งทำงานเกี่ยวกับ photographer, biomedical (ช่างภาพและชีวการแพทย์)!?!? สิ่งที่คุณแกรี่ กรีนเบิร์กเล่าให้พวกเราฟังคือ การมองโลกจากมุมมองใหม่ๆ และในทีนี้คือ มุมมองในระดับไมโครเมตร (1 มิลลิเมตร เท่ากับ 1,000 ไมโครเมตร นะครับ) สิ่งที่น่าประหลาดใจมากคือ เขาเล่าให้พวกเราฟังเกี่ยวกับเม็ดทราย และไม่น่าเชื่อว่าเม็ดทรายตามชายหาดนี้ล่ะ จะมีความน่าสนใจมากกกกกถึงขนาดนี้

ลักษณะชีววิทยาและธรณีวิทยารอบเกาะเมาวี (MAUI)
โดยภาพแรกที่คุณได้เห็นเป็นสิ่งต่างๆที่อยู่ทรายที่มาจากเกาะเมาวี (MAUI) และเหตุผลที่เม็ดทรายมีลักษณะแบบนี้ก็เพราะว่าสภาพแวดล้อมของเกาะเมาวีมีประการังและสิ่งมีชีวิตต่างๆ พอพวกมันตายซากกระดูก ฟัน และสิ่งต่างๆก็จะมารวมอยู่ในทราย และทรายในแต่ละที่ทั่วโลกจะมีลักษณะแตกต่างกันไป ซึ่งจริงๆแล้วเวลาที่เราเดินอยู่บนพื้นทรายน่ะ เรากำลังเดินอยู่บนบันทึกทางชีววิทยาและธรณีวิทยาที่มีมาเป็นล้านๆปี 

เม็ดทรายจากดวงจันทร์

และที่ทำให้คุณได้รู้สิ่งใหม่ๆ รวมทั้งประทับใจยังไม่หมดแค่นี้ เพราะดร. แกรี่ กรีนเบิร์ก เคยดูและถ่ายรูปเม็ดฝุ่นจากดวงจันทร์!!! ซึ่งแน่นอน ไม่มีเม็ดทรายบนโลกที่หาดไหนจะมีลักษณะแบบนี้ไปได้ ถ้าเราลองดูลักษณะเม็ดทรายจากดวงจันทร์ คุณจะเห็นว่ามันมีวงแหวนอยู่ด้วย เนื่องจากดวงจันทร์ไม่มีชั้นบรรยากาศ ทำให้อุกกาบาตเล็กๆชนดวงจันท์บ่อยๆ แล้วเวลาที่ชนเนี่ยฝุ่นหรือเม็ดทรายก็จะระเหิดกลายเป็นไอทันที แล้วจะมีการเกาะตัวทำให้เกิดเม็ดทรายในลักษณะนี้ ส่วนจะมีอะไรมากกว่าไปติดตามชมใน TED Talk กันต่อได้เลย

แกรี่ กรีนเบิร์ก (Dr. Gary Greenberg)





และสำหรับคนที่ต้องการดู Subtitle ภาษาไทยด้วยเชิญที่นี้ครับ แกรี่ กรีนเบิร์ก: มองโลกพิศวงระดับนาโน
ขอบคุณรูปภาพและ video ดีๆจาก www.ted.com
Continue Reading...

Wednesday, November 19, 2014

ทำไมต้องอ่านหนังสือดีๆ ให้กำลังใจเป็นประจำ?!?!


คุณเคยไหมครับ เวลาไปเดินเลือกซื้อหนังสือดีๆ ประเภทพัฒนาตัวเองหรือให้กำลังใจ แล้วอยู่ๆเพื่อนข้างๆก็พูดขึ้นมาว่า "จะซื้อไปอ่านทำไมตั้งเยอะ หนังสือพวกนี้มันก็เหมือนๆกันล่ะ เนื้อหาจริงๆเหมือนกันหมด ซื้อไปอ่านมีแต่คนขายจะรวยขึ้น" โอ้โห...ฟังเสร็จ ผมนี้นิ่งเลย...แล้วก็เดินไปจ่ายตังค์ ฮ่าๆๆๆๆๆ

ถ้าจะให้อธิบายง่ายที่สุด สั้นที่สุดว่าทำไมเราควรอ่านหนังสือดีๆ ให้กำลังใจเป็นประจำ ผมขอยกคำพูดนี้เลยครับ

ผู้คนชอบพูดว่าแรงจูงใจอยู่แค่แปปเดียวก็หาย
การอาบน้ำก็เหมือนกัน เราจึงอาบน้ำทุกวัน
Zig Ziglar

ผมว่าประโยคนี้เป็นอะไรที่โดนมาก เพราะว่าเราต้องอาบน้ำทุกวัน วันนึงอย่างน้อยก็ 2 ครั้งกันเข้าไปแล้ว เพื่อตัวเราเองรู้สึกสดชื่น แต่การอ่านหนังสือดีๆเนี่ยกลับน้อยกว่ามาก เลยกลายเป็นว่าทุกวันเราเจอสิ่งต่างๆที่อาจจะทำให้จิตใจเราอ่อนล้า แต่เรากลับไม่ค่อยได้เติมสิ่งดีๆกลับเข้าไปในจิตใจกันเลย และกว่าเราจะรู้สึกตัวกันอีกทีก็ตอนที่หมดแรงใจกันแล้ว


หนังสือเป็นเพื่อนที่เงียบและมั่นคงมากที่สุด 
เป็นที่ปรึกษาที่เข้าถึงได้ง่ายและรอบรู้ที่สุด
และเป็นครูที่อดทนที่สุด
Charles William Eliot - อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด 

เอาล่ะ...วันนี้เราไปอ่านหนังสือดีๆกันครับ ถ้านึกไม่ออกว่าจะอ่านหนังสือเล่มไหนก่อนดี ลองไป หนังสือแนะนำที่นี้ก่อนก็ได้นะครับ
ขอบคุณรูปภาพเด็กๆนั่งอ่านหนังสือจาก Valerie Everett
Continue Reading...

Monday, November 17, 2014

วิธีแสนง่าย ในการวิ่งให้สนุก (แต่หลายคนลืมเลือน)


ในช่วงเวลาที่มองไปทางไหน เราก็สามารถพบเห็นคนก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือกันแม้แต่คนขับรถก็ยังก้มหน้าเล่นตอนรถติด!?!? ก้มหน้าเล่นกันจนคุณแสตมป์ยังแต่งเพลงโอมจงเงย....อืม แต่ยังดีที่ตอนนี้ผมยังไม่เจอใครที่ก้มหน้าเล่นมือถือแล้ววิ่งไปด้วยน่ะ (ไม่นับการวิ่งบนลู่วิ่งน่ะ) แสดงว่าการวิ่งออกกำลังกายนี้ มันเป็นการบังคับให้คุณหยุดเล่นมือถือได้ด้วยน่ะ แต่ทีนี้พอคุณวิ่งไปสักพักในทางเดิมๆ เวลาเดิมๆ เพราะเราว่างแค่ช่วงนี้ ทำอาจจะทำให้คุณเริ่ม"เบื่อที่จะวิ่ง" ก็ได้ เพราะฉะนั้นวันนี้ผมจะเล่าอีกวิธีในการวิ่งให้สนุกครับ ซึ่งคราวที่แล้วผมได้เขียน 5 วิธีง่ายๆที่ทำให้วิ่งสนุกขึ้น แต่วันนี้ผมจะมาบอกเพิ่มอีก 1 วิธีที่ทำให้การวิ่งของคุณไม่น่าเบื่ออีกเลย แต่อาจจะปวดหัวแทน นั่นก็คือ...

ออกไปวิ่งเล่นกับเด็กๆ หรือออกไปวิ่งเล่นกับลูกๆของคุณ
ถ้าคุณเป็นวิ่งไปสักพักแล้วเริ่มรู้สึกว่า "เบื่อที่จะวิ่ง" เพราะวิ่งวันล่ะ 10 รอบ วิ่งจนจะหลับตาวิ่งแล้วอยู่ ทำให้การวิ่งมันไม่น่าตื่นเต้นสำหรับคุณ ผมแนะนำว่า ลองออกไปวิ่งเล่นกับลูกๆดูซิครับ หรือไปวิ่งเล่นกับเด็กๆ อาจจะหลาน หรือลูกของญาติก็ได้ แล้วคุณจะรู้สึกเลยว่า "เหนื่อย Shipหาย" เด็กๆวิ่งเล่นไม่ยอมหยุดเลย แถมเด็กยังไม่ยอมฟังด้วย!!! ถ้ามีถนนใกล้ๆเราต้องระวังรถบ้าง หรือระวังไปขวางทางนักวิ่งคนอื่น หรือวิ่งไปชนชาวบ้าน หรือแม้กระทั่งวิ่งไปใกล้สระน้ำเกินไป เดี๋ยวตกน้ำมาเรื่องใหญ่เลยคราวนี้!!! เราต้องออกแรงวิ่งๆหยุดๆ แล้วตอนที่วิ่งก็อาจจะต้องคุยกับเด็กๆ (อาจจะตะโกนเลยก็ได้ ฮ่าๆๆๆๆ) ซึ่งทำให้เหนื่อยกว่าการวิ่งธรรมดาครับ

ยังไม่เพียงเท่านี้ครับ เพราะคุณจะได้วิ่งไปในบริเวณที่ปกติแล้วเราไม่เคยคิดแม้แต่จะเข้าไปใกล้ เช่น เด็กๆกระโดดเข้าไปในดงดอกไม้!?!? บร๊ะเจ้า ตรูจะโดนด่าไหมเนี่ย เราก็ต้องรีบวิ่งไปบอกเลย ออกมาน่ะ!!! แต่ช้าก่อนครับ ถ้าคุณไปวิ่งเล่นกับเด็กๆมากกว่า 1 คนล่ะก็ ฮ่าๆๆๆๆๆ ผมรับประกันว่า คุณจะลืมความเครียดเรื่องงานไปเลยครับ เพราะมาปวดหัวกันแก๊งเด็กน้อยแทน เพราะหยุดคนนี้ อีกคนก็ไปนุ้นแล้ว นั่นมันใกล้น้ำกลับมาาาาา เดี๋ยวตก แล้วเราก็ต้องวิ่งยิ่งกว่า 4x100 เพื่อไปให้ทันเด็กน้อยใกล้ๆน้ำ  ฮ่าๆๆๆ ถ้าใครเคยพาลูกไปวิ่งเล่นจะเข้าใจความรู้สึกนี้ดี

แต่การวิ่งหลังจากวันนั้นจะเปลี่ยนไป
วันที่พาลูกๆไปวิ่งเล่นก็มีความสุขครับ รวมถึงอาจจะปวดหัวด้วย แต่ว่าผมกล้าพูดเลย เวลาที่ไปวิ่งอีกทีในวันหลัง คุณจะรู้สึกไม่เหมือนเดิม คุณจะคิดถึงช่วงเวลาที่เจ้าตัวน้อยวิ่งซนไปทางไหนที วิ่งซนไปทางนี้ที เด็กๆเขาจะทำให้เรามีความทรงจำใหม่ๆกับทางวิ่งเดิมๆของที่เราเคยวิ่ง (แต่ดีหรือไม่ดี นี้อีกเรื่องน่ะ ฮ่าๆๆๆๆ)

ไปครับ...ออกไปวิ่งเล่นกับลูกๆกันดีกว่าครับ และขอขอบคุณรูปสวยๆสำหรับการวิ่งเล่นอย่างมีชีวิตชีวาของเด็กๆจาก Carissa Rogers
Continue Reading...

Friday, November 14, 2014

หัวใจสำคัญของการวิ่งลดน้ำหนัก



คนเราไม่ค่อยชอบที่อะไรมาคอยจุกจิกกวนใจกันมากนักหรอก แต่บางสิ่งอย่างเช่น ไขมัน! มันกลับเกาะติดไว้ ไม่ค่อยจะยอมออกไปด้วยนะซิ แล้วพอคิดถึงเรื่องการลดน้ำหนักขึ้นมา โดยที่ไม่อยากเสียเงินไปเข้าไปคอร์สอะไรแพงๆด้วยแล้ว การวิ่งเพื่อการลดน้ำหนักเนี่ย จะเป็นตัวเลือกที่สำคัญทันที แต่ทีนี้การวิ่งเพื่อลดน้ำหนักมันมีหัวใจสำคัญ หรือมี Key อะไรบางอย่างอยู่ครับ วันนี้เรามาลองดูกัน

สิ่งสำคัญในการวิ่งเพื่อลดน้ำหนัก
เป้าหมาย
ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของคนเรานั้น มักจะได้มาอย่างยากลำบาก แต่ว่าคนที่ยิ่งใหญ่นั้นก็ไม่ยอมแพ้ต่อความเหนื่อยยาก และอุปสรรค ซึ่งการวิ่งเพื่อเอาเจ้าไขมันส่วนเกินออกเนี่ย สำหรับใครหลายๆคนแล้ว มันเป็นอุปสรรคก้อนใหญ่มาก ดังนั้นเพื่อที่เราจะสามารถก้าวข้ามมันไปได้ เราต้องมีเป้าหมายที่แรงกล้าที่เราต้องไปให้ถึงครับ 

ตัวอย่างเช่น คุณอยากเก็บเงินไปเที่ยวต่างประเทศ เพราะว่าคุณอยากไปดู อยากไปเที่ยว อะไรก็ว่าไป กับอีกเป้าหมายคือ คุณอยากเก็บเงินพาคุณแม่คุณพ่อที่ไม่เคยไปเที่ยวต่างประเทศเลยไปสักครั้ง ตัวอย่างนี้จะเห็นง่ายๆเลยว่า การตั้งเป้าหมายแบบที่สองนั้นมีความมั่นคงในจิตใจมากกว่า เราจะเอาชนะอุปสรรคที่เข้ามาได้ง่ายกว่า ถ้าเราไปตั้งเป้าหมายแบบแรกล่ะก็ แค่ iPhone ออกรุ่นใหม่ แล้วคนรอบข้างใช้กัน ก็ไม่แน่ว่าอุปสรรคแค่นี้ก็อาจจะทำให้เราบอกกับตัวเองว่า "เดี๋ยว ช้าไปอีกสักเดือนก็ไม่เป็นไรน่าาา อยากได้มือถือใหม่แล้ว ฮ่าๆๆๆๆ"

พูดง่ายๆคือ เป้าหมายต้องทรงพลังมากพอ เป้าหมายมันไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ แต่เป้าหมายนั้นมันสามารถเปลี่ยนแปลงโลกของใครบางคนก็พอ และในที่นี้ก็คือ สำหรับตัวคุณเอง ถ้าคุณหาสิ่งที่สำคัญพบจริงๆ คุณจะสามารถไปถึงเป้าหมายได้แน่นอนครับ

การวิ่ง จริงๆแล้วก็คือ การเอาชนะใจตัวเอง
การวิ่งเนี่ยจะมีเสียงเล็กๆในจิตใจค่อยบอกคุณ เหนื่อยแล้วงะ พักก่อนไหม เดินก็ได้ บร๊า บรา.... แต่จริงๆแล้วการวิ่งเพื่อลดน้ำหนักที่ดี เราควรวิ่งต่อเนื่องไม่หยุดเดิน แต่อาจจะวิ่งช้าลงมาหน่อยก็ได้ครับ แล้วค่อยๆเพิ่มระยะวิ่งครับ และสำหรับขั้นตอนง่ายๆในการเพิ่มระยะวิ่ง อ่านได้ที่นี้ครับ ถ้าคุณวิ่งได้ตามระยะที่คุณตั้งเป้าหมายไว้ในแต่ครั้งที่ออกวิ่งล่ะก็ คุณจะค่อยๆมีความมั่นใจและมีความสนุกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆครับ แล้วพอวิ่งไปได้สัก 2 เดือนคุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงได้แน่นอน

วิ่งไปสู่เป้าหมายกันเถอะครับ!!!

Continue Reading...

Thursday, November 13, 2014

3 ขั้นตอนง่ายๆ ในการวิ่งให้ไกลขึ้น


หนึ่งในสิ่งที่นักวิ่งไม่ว่าจะเป็นหน้าใหม่หรือหน้าเก่า(ที่โดนแดดกันจนดำ อิอิ) จะมีคล้ายๆกันก็คือ "ทำไงให้วิ่งได้ไกลขึ้น?", "ทำอย่างไรให้วิ่งได้ระยะทางมากขึ้น?" และนี้ก็เป็นหนึ่งในคำถามของตัวผมเองเหมือนกัน ดังนั้นผมจะมาแชร์ให้ฟังว่ามีขั้นตอนเป็นอย่างไร

เทคนิคการวิ่งให้ได้ระยะทางมากขึ้น
ขั้นตอนแรก - รู้จักตัวเอง
อันนี้สำคัญมาก เพราะว่า เราต้องรู้จักตัวเองว่า Limit ของเราอยู่ที่ไหน แล้วเราจะได้กำหนดเป้าหมายได้ถูกต้อง และจะทำคุณมีกำลังใจมากขึ้นเวลาที่สามารถเอาชนะ limit ตัวเองไปได้ วิธีการง่ายๆ ก็คือ ลองวิ่งดูก่อนว่า ถ้าวิ่งความเร็วกลางๆ ไม่เร่งจนเกินไป และไม่ช้าจนเกินไป เราจะสามารถวิ่งไปได้นานแค่ไหน โดยที่ไม่หยุด! และไม่ให้เดินด้วย ต้องวิ่งครับ!!! ต้องวิ่งไปเรื่อยๆโดนที่ไม่หยุด ยกตัวอย่างง่ายๆ วิ่งสัปดาห์แรก คุณลองทดสอบดูแล้วอาจจะเจอว่า วิ่งไปได้ ? กิโล โดยที่ไม่หยุดเลย ในเวลา xx นาที

ขั้นตอนที่สอง - สังเกตุอาการ
หลังจากที่เรารู้แล้วเราสามารถวิ่งได้เท่านี้กิโลภายในเวลา xx นาที เราควรที่จะวิ่งให้ได้เท่าเดิมไปก่อน ในอาทิตย์แรก เพราะถ้าคุณวิ่งทุกวัน โดยวิ่งให้ได้เท่ากับ limit ของตัวคุณเอง สิ่งที่นักวิ่งหน้าใหม่ มักจะเจอกัน คือ อาการเจ็บปวดตามส่วนต่างๆ

ทีนี้เราต้องสังเกตุอาการเจ็บปวดกันก่อนครับ ว่าเจ็บบริเวณไหน เช่น
ปวดต้นขา คันๆต้นขา อาการแบบนี้ อาจจะเกิดมาจากการที่เรายังยืดเส้นไม่ดีพอและไม่มากพอ ก่อนที่จะเริ่มออกวิ่ง ดังนั้นเราสามารถแก้ไขได้ด้วยยืดเส้นทั้งก่อนและหลังวิ่งให้ดีๆครับ วิธีง่ายๆก็อาจจะเพิ่มเวลาในการยืดเส้นอีก 10 นาที และอาจจะต้องเพิ่มท่าในการยืดเส้นด้วย

ปวดหลัง อาการโดยส่วนมากมักเกิดจากการยืดกล้ามเนื้อยังไม่ดีพอครับ ก็ต้องใช้ท่ายืดบริเวณลำตัวเยอะหน่อย อาจจะเป็นก้มไปแตะปลายเท้าก็ดีครับ

ปวดเข่า การบาดเจ็บเป็นไปได้หลายสาเหตุ อาจจะเกิดจากการลงน้ำหนักเท้าผิดท่า หรือ ยกขาสูงมากไปตอนที่วิ่งทำให้กระแทกแรง ก็ต้องดูว่าเกิดจากอะไร ถ้าเราสามารถแก้ไขที่ต้นเหตุได้แล้ว เราก็จะสามารถวิ่งได้ไกลขึ้นครับ โดยปกติแล้วการนักวิ่งส่วนมากจะลงน้ำหนักกันผิดก็คือ ตอนที่เหนื่อย!!! ดังนั้นถ้าเราสามารถสังเกตุอาการตอนที่เหนื่อยแล้วพยายามปรับให้ท่าวิ่งถูกต้องในตอนที่เหนื่อยจะทำให้เราวิ่งได้ไกลขึ้น แถมยังสนุกกับการวิ่งด้วยน่ะครับ

*การวิ่งแล้วต้องยกขาสูง จริงๆจะต้องทำเมื่อคุณไปวิ่งในที่ๆทางวิ่งมันไม่เรียบ ถ้ายกขาไม่สูงเนี่ยอาจจะสะดุดกันได้ง่ายๆ ดังนั้น ถ้าทางที่คุณวิ่งประจำ มันไม่เรียบตลอดทั้งเส้นทาง แนะนำว่าเปลี่ยนเส้นทางที่วิ่งครับ


ขั้นตอนสุดท้าย คือ ฝึก ฝึก ฝึกและก็ฝึก
ฮ่าๆๆๆๆ อยากจะบอกว่า การวิ่งให้ได้ระยะทางเพิ่ม มันไม่มีทางลัดครับ คือเราก็ต้องฝึกฝน ให้ร่างกายเราสร้างความอึดขึ้นมา โดยการเพิ่งระยะนั้นปกติจะค่อยๆเพิ่ม ประมาณอาทิตย์ล่ะ 10% นั่นหมายความว่า คุณจะมีระยะทางวิ่งเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายใน 8 สัปดาห์ หรือ 2 เดือน

แต่จากประสบการณ์ของผมเองในตอนที่เพิ่งเริ่มวิ่ง แนะนำว่า เดือนแรกวิ่งให้เท่า limit ของตัวเองทุกวันก่อนก็พอแล้วครับ เพื่อร่างกายได้ปรับตัวสำหรับการวิ่งก่อน จะทำให้อาการเจ็บต่างๆลดลงอย่างเห็นได้ชัด หลังจากนั้นค่อยๆเพิ่มระยะที่วิ่งสัปดาห์ล่ะ 10% ก็ได้ครับ

ในการฝึก 1 สัปดาห์ ควรมีวันพัก 1 วัน
เพราะว่าเราต้องการให้ร่างกายได้พักผ่อนกันบ้าง ดังนั้นในวันที่พักจากการวิ่ง เราก็สามารถไปออกกำลังกายอย่างอื่นแทนได้ หรืออาจจะยืดเส้น ยืดสาย ไปเล่นโยคะ เพื่อให้ร่างกายได้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อครับ

Photo: Tomás Fano / (CC BY-SA 2.0)
Continue Reading...

Tuesday, November 11, 2014

5 วิธีง่ายๆที่ทำให้ สนุกกับการวิ่ง



หลายๆคนพอเริ่มวิ่งมาสักพักนึง อาจจะเริ่มรู้สึกเบื่อกับการวิ่ง รู้สึกไม่มีแรงผลักดันหรือแรงดันบาลใจในการออกไปวิ่ง...บางคนจะออกไปวิ่งนี้ก็ต้องการแรงบันดาลใจนะครับบบบบ ฮ่าๆๆๆๆๆ เอาล่ะงั้นวันนี้เรามาลองดูกันว่าดีกว่า เราจะมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้การวิ่งของเราสนุกมากขึ้นครับ


5 วิธีง่ายๆที่ทำให้การวิ่งของคุณสนุกขึ้น
ฟังเพลง
ฟังเพลงไปวิ่งไป - อันนี้คุณก็ใส่หูฟังแล้วจะฟังจากมือถือ หรือ MP3 player ก็ได้ แล้วคุณจะไปหาสายรัดต้นแขนหรือถือไว้ในมือก็ได้นะครับ แล้วเราก็เลือกเพลงที่มีจังหวะมันส์ๆ มาฟังวิ่งไปก็สนุกดี แต่ช้าก่อน ผมแนะนำว่า การฟังเพลงไปวิ่งไปเหมาะกับสถานที่ที่ปลอดภัยนะครับ เช่น วิ่งที่สวนลุมฯ หรือสวนหลวง ร. 9 ที่ที่ไม่มีรถวิ่งไปวิ่งมา และค่อนข้างปลอดภัยครับ ถ้าคุณวิ่งในหมู่บ้านต้องใช้ควรระมัดระวังตัวด้วยนะครับ ทั้งระวังรถเข้า-ออก และทรัพย์สินมีค่าครับ

ฟังเพลงก่อนวิ่ง - โดยส่วนตัวแล้วผมชอบใช้วิธีนี้ครับ คือ ผมจะฟังเพลงตอนที่ยืดเส้น-ยืดสายก่อน พอพร้อมแล้วก็ออกวิ่งโดยที่ไม่มีมือถือ หรือสิ่งใดๆติดตัวครับ แล้วคุณคงเคยมีประสบการณ์ใช้ไหมครับ ที่รู้สึกเหมือนเพลงมันติดอยู่ในหัว...ประมาณนั้นล่ะครับ วิ่งไปฮัมเพลงไป สนุกดีเหมือนกันนะครับ


วิ่งเปลี่ยนความเร็ว
ถ้าคุณวิ่งที่เดิมๆ โดยใช้ความเร็วเดิมๆ ผมเองก็เป็นครับ บอกเลยว่า เบื่อ!!! หลายครั้งก็ต้องเปลี่ยนความเร็วกันบ้าง วิธีง่ายๆ แต่ได้ผลคือ ถ้าคุณวิ่งในตอนเย็น มันจะมีช่วงที่โดนแดดมาก กับบางช่วงที่มีร่มไม้ สักระยะนึง ตอนที่โดนแดดเราก็วิ่งเร็วๆ พอที่ร่มเราก็ผ่อนความเร็ว ให้ร่างกายได้พัก โดยการวิ่งช้าๆ วิ่งแบบนี้ก็สนุกดีครับ แล้วอาจจะดำน้อยลง วิ่งแบบนี้ผมเรียกว่า วิ่งหลบแดด ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ


เปลี่ยนทิศวิ่ง หรือเปลี่ยนที่วิ่ง
เปลี่ยนทิศวิ่ง - ถ้าที่ที่คุณวิ่ง เขาไม่ได้บังคับว่าต้องวิ่งทิศนี้เท่านั้น แค่คุณลองเปลี่ยนทิศวิ่งดูแค่นี้ก็สนุกได้แล้วครับ แล้วคุณอาจจะรู้สึกแปลกใจบ้างว่า เอ๊ะ ทำไมไม่เคยเห็นตรงนี้ทั้งๆที่วิ่งผ่านทุกวัน

เปลี่ยนที่วิ่ง - อันนี้ผมแนะนำให้ดูเรื่องความปลอดภัยไว้ก่อนนะครับ ถ้าเราไปตามหมู่บ้านหรือที่อื่นๆ เราต้องดูเรื่องความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นรถที่จะเข้า-ออก หรือบริเวณไหนที่มีหมาชอบไล่กัด แต่รับรองเลยครับ แค่เปลี่ยนที่วิ่ง คุณจะตื่นตัวขึ้นอีกเยอะครับ


ไม่ต้องใส่นาฬิกา ไม่ต้องจับเวลา
ถ้าคุณเป็นคนที่วิ่งแล้ว มีการจับเวลาว่าต้องวิ่งให้ได้ 30 นาที หรือวิ่งให้ได้ 5 kmภายใน xx นาที แบบนี้ทำไปสัก 1 - 2 เดือนอาจจะเริ่มเบื่อได้ ดังนั้นบางวันเราไม่ต้องสนใจเวลาเลยก็ได้ครับ เราแค่ไปสนุกกับการวิ่งเท่านั้น ก็เพียงพอแล้ว และบางทีคุณอาจจะแปลกว่า โอ้วันนี้วิ่งได้ระยะมากกว่าทุกวันอีกนะครับ ลองดูครับ

ยืดเส้น-ยืดสายให้นานขึ้น
อันนี้สำหรับคนที่ยืดเส้นแปปเดียวก็ออกวิ่งแล้ว แรกๆผมก็เป็นเหมือนกัน คือ ยืดเส้นไม่ถึง 5 นาที ไปวิ่งล่ะ พอวิ่งไปสัก 5 km ขึ้นมันจะไม่สนุกแล้วจิ มันจะเริ่มเจ็บกล้ามเนื้อ คันตรงนุ่น คันตรงนี้ พอลองยืดเส้นให้นานขึ้น การวิ่งระยะไกลๆ ก็สนุกขึ้นได้ครับ ถ้าใครที่ยืดเส้นไม่ค่อยนาน ลองทำดูได้เลยครับ แล้วคุณอาจจะสนุกกับการวิ่งมากขึ้น

ขอให้คุณสนุกกับการวิ่งของคุณมากขึ้นน่ะครับ วิ่งให้สนุกเหมือนเด็กๆ บางทีคนที่โตแล้วอาจจะคิดอะไรมากเกินไปก็ได้ เราไปวิ่งเล่นแบบเด็กๆกันเถอะ วิ่งไปจนกว่าจะหมดแรงครับ ขอบคุณครับ
**รูปเด็กๆที่สนุกกับการวิ่งสวยๆจาก Wikimedia / Creative Commons**
Continue Reading...

Sunday, November 9, 2014

ตื่นมาวิ่งตอนเช้า มีข้อดีมากกว่าที่คุณคิด


ถ้าคุณเป็นคนนอนตื่นสายหรือสายมากจนไปถึงเที่ยง!!! ผมมีข่าวดีมาบอกครับ..."คุณเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้!!!" และการที่เราจะตื่นขึ้นมาวิ่งในตอนเช้านั้น มันมีข้อดีมากกว่าที่คุณอาจจะเคยคิดไว้ ดังนั้นวันนี้เรามาลองดูกันดีกว่าครับ ว่าถ้าเราขุดตัวเองขึ้นมาวิ่งในตอนเช้าเนี่ยจะมีประโยชน์อะไรบ้าง

ข้อดีและประโยชน์ของการวิ่งตอนเช้า
เผาผลาญไขมันได้ดีกว่าการวิ่งในช่วงเวลาอื่นๆ
อันนี้มีการวิจัยในต่างประเทศแล้วครับว่า การที่ออกกำลังกายในตอนเช้าๆจะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานหรือ Burn fat ได้ดีกว่าในช่วงเวลาอื่นๆ  โดยในงานวิจัยนี้เป็นของ British Journal of Nutrition พบจะการออกกำลังกายในตอนเช้าก่อนทานข้าวเช้าจะทำให้เผาผลาญไขมันได้มากกว่า 20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาอื่น อันนี้งานวิจัยชิ้นแรกที่ผมเจอว่ากล้าพูดเลยว่าให้ ออกกำลังในตอนเช้าก่อนรับประทานอาหารเช้า!?!? แต่โดยส่วนตัวผมแล้วต้องดื่มนมสักแก้วหรือสักกล่องก่อน แล้วเริ่มยึดเส้น-ยึดสาย แล้วจึงเริ่มออกวิ่งครับ ฮ่าๆๆๆๆๆ

สำหรับข้อมูลในภาษาอังกฤษเพิ่มเติมสำหรับงานวิจัย การออกกำลังกายตอนท้องว่างในตอนเช้าจะทำให้เผาผลาญไขมันได้เพิ่มขึ้น 20% อ่านต่อได้ที่นี้ครับ


อากาศบริสุทธิ์
ถึงแม้ว่าในเมืองใหญ่ๆเดี๋ยวนี้จะมีอากาศที่มีมลพิษค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าคุณตื่นมาในตอนเช้าๆ(ตี 5) เพื่อมาวิ่ง คุณจะก็เจออากาศบริสุทธิ์กันได้ไม่ยากครับ และถ้าคุณไปวิ่งในสวนสาธารณะด้วยแล้วล่ะก็ คุณจะได้สูบอากาศดีๆกันทุกๆวันที่คุณได้ออกมาวิ่งด้วยครับ


มีความมุ่งมั่น
ในวินาทีที่คุณลุกขึ้นมา แล้วก้าวเท้าออกไปวิ่งในตอนเช้าตรู่นั้น มันก่อให้เกิดความแตกต่างเป็นอย่างยิ่งกับคนส่วนมากที่เขายังนอนอยู่ในผ้าห่ม มันต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้ตัวคุณเองตัดสินใจทำแบบนั้น เพราะคุณอาจจะต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 หรือบางคนอาจจะเป็นตี 4 กว่าๆ!!! มีแต่ตัวคุณเองเท่านั้นที่จะเข้าใจความรู้สึกถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้านี้

สัมผัสความสงบ
ถ้าคุณเคยวิ่งในตอนเช้ามากๆในหมู่บ้าน คุณจะได้ยินแค่เสียงที่คุณหายใจและเสียงจากการรองเท้าของคุณสัมผัสพื้นเป็นหลักเลย คุณอาจจะได้ยินเสียงนกร้องในตอนเช้า เสียงลมพัดแล้วต้นไม้ไหว มันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ใครหลายคนได้คุยกับตัวเองท่ามกลางความสงบนี้ แต่หลายทีผมก็เจอเสียงหมาเห่าไล่!!! ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

พระอาทิตย์ขึ้น ต้อนรับวันใหม่
หลายครั้งผมต้องออกจากบ้านในตอนที่แสงไฟบนท้องถนนยังเปิดอยู่ ต้องวิ่งไปในความมืด มีเพียงแสงจากเสาไฟที่ช่วยให้ผมมองเห็นทาง แต่ยิ่งวิ่งไปมากขึ้น แสงจากท้องฟ้าก็เริ่มส่องมา และเมื่อผมวิ่งจนถึงจุดที่สิ้นสุดหรือครบระยะ พระอาทิตย์ก็ขึ้นมาต้อนรับเราแล้ว มันให้อารมณ์และความรู้สึกที่ดีมากๆในการเริ่มต้นวันใหม่

ทานข้าวเช้าได้อร่อยมากขึ้น
หลังจากที่ไปวิ่งมาในตอนเช้านั้น มื้อเช้าของวันนั้นจะกินข้าวเช้าอร่อยมากกกกก และเยอะด้วย ฮ่าๆๆๆๆ หรือเพราะว่าหิวก็ไม่รู้ แต่อันนี้ผมถือว่าเป็นข้อดีแล้วกันนะครับ


ขอบคุณมากเลยครับที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ เอาล่ะ วันนี้เตรียมตัวนอนเร็วขึ้นไหมครับ เพื่อที่ว่าพรุ่งนี้เช้าเราออกไปวิ่งกัน และไม่ว่าคุณจะวิ่งช้าหรือวิ่งเร็ว วิ่งระยะใกล้หรือวิ่งทางไกล ผมว่าแค่เราออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ในตอนเช้า ได้สัมผัสกับธรรมชาติมากขึ้น มันก็ทำให้เรามีความสุขในชีวิตมากขึ้นแล้วครับ

Photo: Phil Roeder / Creative Commons
Continue Reading...

Friday, November 7, 2014

ประโยชน์ของการวิ่ง มีดีมากกว่าความฟิต


ในช่วงเวลายุคสมัยที่อุปกรณ์กีฬาหรือกาแฟสักแก้วมีราคาแพงมากขึ้น แต่การวิ่งสำหรับผมแล้ว ยังคงเป็นกีฬาที่เรียบง่าย ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เพิ่มเติม แค่ใส่ชุดแล้วก็สวมรองเท้า เราก็พร้อมจะออกวิ่งแล้ว การวิ่งเป็นอะไรที่เรียบง่ายมาก แถมยังประหยัดอีกด้วย ดังนั้นผมจึงอยากจะเขียนถึงประโยชน์ของการวิ่ง เผื่อว่าจะทำให้ใครออกไปวิ่งได้บ้าง

ประโยชน์ของการวิ่ง
คลายเครียดได้
ถ้าคุณลองออกวิ่งดู ถึงแม้ว่าจะยังคงคิดมากเรื่องงาน เรื่องเพื่อน หรือเรื่องอะไรก็ตาม ผมอยากให้คุณวิ่งไปอย่างน้อย 15 นาที วิ่งนะไม่ให้เดิน มันจะเป็นไปได้แค่ไม่กี่อย่างแล้วล่ะ นั่นคือ คุณเริ่มเหนื่อยและหมดแรง ตอนนี้คุณจะไม่ค่อยได้คิดเรื่องที่ทำให้กังวลแล้ว จะเริ่มคิดว่าแล้วว่า...จะหยุดดีไหม ฮ่าๆๆๆๆ หรือสอง เรื่องที่คุณกำลังคิดมันซีเรียสมาก คุณไม่สามารถปล่อยวางได้ แต่ในขณะเดียวกันคุณก็ลืมคิดว่าคุณเหนื่อย!!! ลืมจริงๆ ไม่ได้ล้อเล่น สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คุณจะวิ่งไปได้มากกว่าที่คุณคิด พอคุณรู้ตัวอีกทีคุณอาจจะวิ่งได้มากกว่าที่ตั้งใจไว้ 2 เท่าเลยก็ได้ พอถึงตอนนี้ถ้าคุณยังคงเครียดอยู่ ผมว่ามันก็น่าจะลดลงไปได้เยอะแล้วล่ะครับ ถ้ายังไม่ลดระดับความเครียดเลย แสดงว่า ยังวิ่งไม่พอ หรือออกแรงไม่เยอะมากพอครับ 

รู้จักตัวเอง
การวิ่งเนี่ย ก็เหมือนการออกกำลังกายแบบอื่นๆ คือ ต้องให้ผ่านไปสัก 15 นาทีขึ้นไปก่อน พอถึงจุดๆนึงเราจะเริ่มเหนื่อย แล้วตอนนี้ล่ะครับที่เราจะได้เริ่มรู้จักตัวเอง บางทีเหนื่อยนิดเดียว หรือเริ่มเจ็บขานิดนึงก็จะหยุดล่ะ หรือแค่คันๆขา ก็หยุดเลย ไม่ยอมวิ่งต่อทั้งๆที่ความจริงแล้ว อาการเหล่านี้ไม่ได้เป็นอันตรายเลย แต่เราไม่ยอมสู้ต่อไปเอง ซึ่งการวิ่งมันจะเห็นเป็นรูปธรรมเลย เราได้แค่ x km เองน่ะ ทั้งๆที่ตอนแรกตั้งเป้าหมายว่า 5 km เป็นต้น แต่การทำงานในชีวิตจริงน่ะ มันอาจจะไม่เห็นเป็นรูปธรรมทุกๆวันก็ได้ แต่เราก็ยอมแพ้ปัญหาในที่ทำงานก่อน ดังนั้นการที่ออกมาวิ่งเนี่ย คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองครับ

มีความมั่นใจเพิ่มขึ้น ไม่กลัวปัญหา
อันนี้เป็นผลต่อเนื่องมาจาก การวิ่งแล้วเริ่มรู้จักตัวเอง พอเรารู้แล้วว่าเราชอบยอมแพ้อะไรเร็วเกินไป เราก็จะปรับปรุงและพัฒนา ซึ่งมันมาจากการตัดสินใจของตัวเราเอง ไม่ได้มีใครมาบังคับอะไรทั้งสิ้น เราจะเริ่มตั้งเป้าหมายว่า วันนี้ต้องวิ่งให้ได้ 5 km จะเร็วจะช้า ก็ไม่หยุดแต่ต้องให้ถึง พอคุณทำแบบนี้ไปสัก 1 เดือน ผมรับรองว่าชีวิตเปลี่ยนครับ 

มีความสุข
อันนี้มีผลทั้งจากร่างกายและจิตใจ ทางด้านร่างกายนั้นมีการศึกษามานานแล้วว่า หลังจากการออกกำลังกาย ร่างกายจะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งทำให้รู้สึกฟินหรือมีความสุขนั่นเอง ส่วนทางด้านจิตใจ คือ เราเอาชนะและพิชิตเป้าหมายที่เราตั้งไว้ได้ในการวิ่งสำหรับวันนี้ แม้มันจะไม่ได้เป้าหมายยิ่งใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ แต่มันก็จะค่อยๆเปลี่ยนแปลงตัวเราครับ :)

หุ่นสวย เพรียวลม
อันนี้ต้องได้อยู่แล้วครับ ถ้าคุณวิ่งวันละ 5 km ขึ้นไป วิ่งน่ะไม่ใช่เดินให้ครบ ผมเคยได้ยินบางคนบ่นว่าทำไมวิ่งเยอะแล้วยังอ้วน อืมมมม อันนั้นผมว่าไปเดินอะป่าว หรือวิ่งแค่ 1 km แล้วที่เหลือเดิน ฮ่าๆๆๆๆๆ ตอนแรกๆผมเองก็คิดว่า การวิ่งเนี่ยคงจะได้กล้ามเนื้อแค่ช่วงขาล่ะมั้ง แต่พอวิ่งจริงวิ่งจัง คือ วิ่งทุกวัน ฝนตกก็ออกไปวิ่ง!!! หลายคนคงมองว่าผมเพี้ยนๆ ฮ่าๆๆๆๆ มันได้กล้ามเนื้อส่วนอื่นด้วยนะ ลองวิ่งดูครับ

เอาล่ะ ปิดจอมือถือหรือคอม หยุดอ่าน...แล้วไปวิ่งกันเถอะ!
ขอบคุณรูปภาพจาก Steve Garner  / Creative Commons
Continue Reading...

Wednesday, November 5, 2014

กำลังใจและข้อคิดเตือนสติจาก คำที่แปลว่ารัก โดยวินทร์ เลียววาริณ


ถ้าหากว่าการวัดว่าหนังสือสักเล่มจะดีหรือไม่ดีนั้น โดยใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ผมว่า"หนังสือของวินทร์ เลียววาริณ"จัดว่าดีมากเลยครับ อย่างวันนี้ผมได้กลับมาอ่านหนังสือ คำที่แปลว่ารัก ซึ่งเป็นหนังสือในชุดเสริมกำลังใจ แต่สิ่งที่ผมจะมาเล่าในวันนี้คือ ข้อคิดดีๆที่ช่วยเตือนสติครับ

บิล กรอส(Bill Gross)
ในแวดวงการเงินของอเมริกานั้น หลังจากการทำการสำรวจแล้วพบว่าบิล กรอส ถูกยกย่องว่ามีความสามารถในการคาดการณ์และวิเคราะห์สภาพทางการเงินของตลาดโลกได้แม่นยำมาก โดยเป็นรองแค่ท่านเทพ วอเร็น บัฟเฟตต์ เท่านั้นครับ โดยคุณบิล กรอสนั้นดูแลกองทุนตราสารหนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใหญ่แค่ไหนน่ะเหรอ ก็แค่ หกล้านล้านบาทเท่านั้นเอง!!! ซึ่งมากกว่างบรายจ่ายประจำปีของประเทศไทยอีกครับ ฮ่าๆๆๆๆๆ ซึ่งคุณบิล กรอสเคยกล่าวไว้ว่า ความสำเร็จที่มีนั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากประสบการณ์ที่เคยผ่านมาด้วย

ตอนที่ยังเป็นหนุ่ม เขาเคยไปพักผ่อนที่รีสอร์ทซึ่งมีโต๊ะพนันด้วย แล้วในตอนนั้นบิลมีเงินอยู่ 50 เหรียญ แล้วอยากดูฝีมือการพนันว่าเป็นอย่างไร โดยไปที่โต๊ะแบล็คแจ๊ค ผลคือ เงินหายไปทั้งหมดภายใน 5 นาที บิลพบว่าการหาเงินโดยการเสี่ยงแบบนี้ไม่ทำให้เขารวยได้ เพราะเขาไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ นี้เป็นบทเรียนที่หนึ่ง

ต่อมาบิลได้ประสบอุบัติเหตุจนกะโหลกร้าว ทำให้ต้องนอนพักฟื้นหลายเดือน และช่วงเวลานั้นเขาได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการนับไพ่เพื่อเอาชนะเจ้ามือแบล็คแจ็คให้ได้ ซึ่งต้องเรียกได้เลยว่าอ่านในระดับ หมกมุ่น เพื่อเล่นให้ชนะแบล็คแจ็ค และในปี 1965 เขาก็กลับสู่สนาม เอ๊ย.,,กลับไปที่โต๊ะแบล็คแจ็คอีกครั้ง และทุ่มเทอย่างหนัก เขาเล่นวันละ 16 ชั่วโมง นาน 4 เดือน บร๊ะเจ้า...จากเงิน 200 เหรียญกลายเป็น 10,000 เหรียญ ซึ่งใน 1965 ถือว่าไม่น้อยเลยนะ แต่เมื่อบิล กรอสกลับมานั่งคำนวณกลับพบว่า ด้วยชั่วโมงทำงานที่หนักขนาดนี้ เขากลับได้เฉลี่ยชั่วโมงล่ะ 5 เหรียญเท่านั้น นี้มันน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำของแรงงานในตอนนั้นอีก!!!  นี้เป็นบทเรียนที่สอง


เรื่องที่ผมเล่าได้ข้างต้น ผมนำมาจากบท The Big Picture ที่คุณวินทร์ เลียววาริณได้เขียนไว้ครับ คือ เรื่องนี้มันโดนใจผมมาก ตรงที่คนส่วนมากน่ะเรียนรู้จากความผิดพลาดอยู่แล้ว แค่น้อยคนนักที่จะเรียนรู้จากความสำเร็จด้วยเช่นกัน ทำให้คนส่วนมากเลยพอสำเร็จแล้วก็ทำแบบเดิมๆ เพราะคิดว่าแบบนี้ล่ะจะสำเร็จ เลยเดินย่ำรอยเดิมไป แต่กว่าจะรู้ตัว พวกเขาก็อาจจะต้องล้มเหลวเพราะประสบการณ์ของชัยชนะอย่างไม่น่าเชื่อ!!! เรื่องนี้เราเห็นในโลกธุรกิจได้บ่อยครั้งไป

สิ่งที่ผมคิดและอยากฝากไว้ก็คือ 
"สิ่งที่สำคัญกว่าชัยชนะก็คือความไม่ประมาท ความไม่ยินดียินร้ายเกินเหตุ โดยเฉพาะคนที่ชนะบ่อยๆ"

Continue Reading...

Monday, November 3, 2014

คุณต้องมีเป้าหมายในชีวิต ถ้าไม่อยากหลงทางในชีวิต รวมถึงหลงป่า?!?!



เรื่องการตั้งเป้าหมายในชีวิต มีหนังสือหลายเล่มมากที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องการตั้งเป้าหมาย และความสำคัญของการตั้งเป้าหมาย แต่มีเรื่องเล่าเรื่องนึงที่ผมยังคงจำได้และประทับใจจนถึงทุกวันนี้ ผมสามารถจำเรื่องราวที่ผู้เขียนเล่าได้ แต่ผมกลับจำไม่ได้ว่าอ่านมาจากเล่มไหน ฮ่าๆๆๆๆๆ ต้องอภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

ความสำคัญของการตั้งเป้าหมาย
ถ้าชีวิตคือ การเดินทาง แสดงมันก็ต้องมีเป้าหมายหรือจุดหมาย แล้วทีนี้การตั้งเป้าหมายในชีวิตเนี่ย โดยส่วนใหญ่แล้วคนส่วนมากเลยไม่ค่อยจะทำกัน ทำให้บริษัทใหญ่ๆคิด Process ออกมาเลยว่า ทุกๆปีนะ พนักงานต้องไปคุยกันหัวหน้าแล้วต้องตั้งเป้าหมายว่า ภาย 3 - 5 ปี คุณต้องการไปถึงจุดไหน ต้องการพัฒนา skill ด้านอะไร ซึ่งเป้าหมายที่คุณจะตั้งนั้น ก็ควรได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย คือ บริษัทได้ประโยชน์จาก skill ของคุณ และคุณเองก็ได้พัฒนาตัวเองด้วย อืม...ฟังดูดี

คำถามเลยกลับมาที่ว่า สรุปแล้วนี้มันคือ เป้าหมายในชีวิตของคุณที่ต้องการมันจริงๆ? หรือมันเป็นแค่จุดหมายที่คุณต้องตั้งขึ้นมาเพื่อให้ทำงานในบริษัทนั้นต่อไปได้ (ในหนังสือเท่าที่จำได้ เขาจะย้ำประโยคว่า Do you really WANT them?)

เป้าหมายมันสำคัญในทุกการเดินทาง
คราวนี้ก็มาถึงเรื่องราวที่ผมประทับ ผู้เขียนเล่าให้ฟังต่อว่า เป้าหมายนั้นสำคัญมากๆ มากที่สุด มากจริงๆ แม้กระทั่งตอนที่คุณหลงป่า!!! มันไม่เกี่ยวว่าคุณมีหรือไม่มีแผนที่ เพราะสิ่งแรกๆที่คนเดินป่า ควรที่จะทำตอนที่คิดจะออกเดินทาง คือ ตั้งเป้าหมายหรือกำหนดจุดหมาย!!! เพราะสาเหตุที่คนส่วนมากหลงป่าเนี่ย ก็เพราะว่าไม่มีจุดหมาย และจุดหมายไม่จำเป็นต้องเป็นทางออก เพราะเราสามารถตั้งเป้าหมายแรกว่า ไปที่ยอดเขา หรือที่เนินลูกนั้น เพื่อที่ได้เห็นป่าในภาพรวมก็ได้ เช่น เห็นแล้วว่ามีแม่น้ำอยู่ แบบนี้เราก็ควรไปที่แม่น้ำก่อน เพราะว่ามีน้ำ มีปลา ไม่อดตาย เป็นต้น

การที่คนหลงป่าที่เพราะว่า เขาเดินทางแบบไม่มีจุดหมาย และพอเหนื่อยคนส่วนมากจะค่อยๆเดินเบี่ยงไปด้านที่ไม่ถนัด เช่น คุณเป็นคนถนัดขาขวา พอเหนื่อยมากๆแล้วคุณจะออกแรงขาขวามากกว่าขาซ้าย และตอนที่เจอต้นไม้ขวางด้านหน้า คนส่วนมากจะมีแนวโน้มว่า จะเดินไปด้านซ้ายมากกว่า(ในกรณีที่ถนัดขวานะครับ) เพราะใช้แขนและขาข้างที่ถนัดในการออกแรง ทำให้ค่อยๆเดินไปด้านที่ไม่ถนัด พอเดินไปเรื่อยๆ ก็เลยเดินเป็นวงกลม!!!

เพราะเราไม่มีแผนที่ในชีวิตจริง
พอเล่าเรื่องนี้จบผู้เขียนก็สรุปเลยฟังเลยว่า มันไม่เกี่ยวกับการมีหรือไม่มีแผนที่หรอก เพราะว่าต่อให้คุณมีแผนที่ ขั้นแรกคุณก็ต้องหาให้ได้ก่อนว่า คุณอยู่ตรงไหนของแผนที่แล้ว จริงไหม? แล้วในชีวิตจริงน่ะ เราก็ไม่มีแผนที่ชีวิตกันหรอก หลายๆครั้งเราต้องกำหนดเป้าหมายในการเดินทางเพียงเพื่อขึ้นไปดูว่า เราอยู่ตรงไหนกันแน่ในแผนที่ แล้วต้องการจะไปทางไหนต่อ ซึ่งหลายๆครั้งมันอาจจะต้องเดินย้อนกลับไปกลับมา แต่มันเป็นการเดินทางอย่างมีเป้าหมาย มีความมุ่งมั่น และมั่นใจว่าไม่ได้หลงทางอยู่ ดังนั้นความเร็วในการเดินทางมันจะผิดกัน....

ขอบคุณครับ
**รูปทางเส้นในป่าสวยจาก Wikipedia / Creative Commons**
Continue Reading...

Thursday, October 30, 2014

โชค คือการเตรียมพร้อมพบกับโอกาส! แต่เราต้องรอนานแค่ไหน???




"โชค คือการเตรียมพร้อมพบกับโอกาส" ประโยคนี้ผมไม่ได้คิดเองครับ แต่เคยอ่านและได้ยินบ่อยมาก เลยไปค้นมาก็เลยทราบว่า มาจากประโยคของคุณ Seneca

“Luck is what happens when preparation meets opportunity.”

ซึ่งผมก็เกิดความสงสัยว่า "การเตรียมพร้อม" เนื่ยต้องรอนานแค่ไหน? จนกระทั่งวันนึงก็ได้คำตอบของคำถามนี้จากก่อไผ่ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ (จริงๆ คือไปอ่านหนังสือมาครับ แล้วผู้เขียนเล่าให้ฟังถึงต้นไผ่)

ต้นไผ่
ต้นไผ่ถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในต้นไม้ที่โตเร็วที่สุดในโลก เร็วขนาดไหนนะเหรอ เคยมีการบันทึกไว้ว่าสูงขึ้น 250 เซนติเมตร หรือ 98 นิ้วใน 24 ชั่วโมง!!! ครับ...พิมพ์ไม่ผิดครับ 2.5 เมตรใน 1 วัน เร็วขนาดนั้นเลย แต่ผมจำไม่ได้ว่าเป็นพันธ์อะไรนะ เพราะต้นไผ่มีหลายสายพันธ์มากๆ รายละเอียดไปหาอ่านต่อได้ในหนังสือ "Farrelly, David (1984). The Book of Bamboo"

มันเกี่ยวอะไรกับโชค
ตอนที่ผมอ่านก็คิดเลย แล้วมันเกี่ยวกับโชคอย่างไง ผู้เขียนก็เล่าต่อว่า การที่ต้นไผ่จะสูงได้เร็วขนาดนี้เนี่ย มันไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆนะ เพราะต้นไผ่เองก็ต้องมีการ "เตรียมตัว" และหลังจากที่เตรียมตัวเสร็จแล้ว ก็ยังมีอีกหลายปัจจัยมากก่อนที่จะโตได้ เพราะมันเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมและธรรมชาติ ซึ่งต้นไผ่เองก็ควบคุมไม่ได้ ต้องรอโอกาสมาถึงเท่านั้น

การเตรียมพร้อมของต้นไผ่
ต้นไผ่จะมีบางพันธ์ที่ช่วงเริ่มต้น หรือช่วงเตรียมพร้อมนั้น จะใช้สารอาหารทั้งหมดเพื่อพัฒนารากของมัน โดยมันจะแผ่ราก ขยายรากให้กว้าง และลึกมากๆ เพราะว่าการที่ต้นไผ่สูงมากๆนั้นมันเสี่ยงต่อการล้มง่ายมาก ดังนั้นต้นไผ่เลยเตรียมพร้อมโดยการแผ่ขยายรากก่อนนั่นเอง อืมม....อ่านมาถึงตอนนี้ ผมก็คิดน่ะ ก็ไม่เห็นแปลก....จนกระทั่ง ผู้เขียนเฉลยว่า.....การเตรียมความพร้อมนี้ อาจจะเวลา 4 -5 ปีหรือมากกว่านั้นก็ได้!!! ...อะไรนะ ต้นไผ่พันธ์นี้เล่นใช้เวลาครึ่งทศวรรษกันเลยเหรอ แล้วการถ้าการเตรียมพร้อมเสร็จสิ้น และพบกับโอกาส หรือสภาพอากาศเหมาะสม ปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้น ต้นไผ่จะสูงเต็มที่โดยใช้เวลาแค่ 1 ฤดูกาล (ประมาณ 3 - 4 เดือน) ความสูงเต็มที่จะสูงแค่ไหนที่ก็ขึ้นอยู่กับพันธ์นะครับ ซึ่งเป็นได้ตั้งแต่ 4.5 เมตรจนมากกว่า 10 เมตร


คำถามก็เลยกลับมาที่ตัวเราเอง
ขนาดต้นไม้เอง ก็ยังต้องเตรียมความพร้อมเป็นเวลาหลายปี และยังต้องรอโอกาสที่เหมาะสม แล้วเราล่ะ เราได้เตรียมความพร้อมให้ตัวเองแล้วหรือยัง สำหรับเรื่องที่เราต้องการทำให้สำเร็จ เรื่องที่เราอยากจะชนะ ถ้าคุณบอกว่าเตรียมพร้อมแล้ว คุณเองก็ยังโชคดีกว่าต้นไผ่ครับ เพราะต้นไผ่ไปไหนไม่ได้ต้องรออยู่ที่เดิม แต่ตัวคุณเองสามารถออกเดิน หรือออกวิ่งเพื่อวิ่งเข้าหาโชคได้อีกแรง

แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น วันนี้เรามาเตรียมพร้อมให้ดีที่สุดกันเถอะครับ!!! สำหรับคนที่คิดไม่ออกว่าจะให้เตรียมตัวอย่างไง ผมแนะนำครับ ออกไปวิ่งซะ ลองวิ่งดู เพราะการวิ่งเปลี่ยนชีวิตมาหลายคนแล้วครับ!!! สู้ๆครับ 

ขอบคุณรูปภาพสวยจาก Wikipedia (Creative Commons)



Continue Reading...

Tuesday, October 28, 2014

คู่ชีวิต คือ สิ่งสำคัญในชีวิตที่มีผลมากกว่าที่คุณคิด และไม่ธรรมดา!!!



ในครั้งนี้ผมจะเขียนถึงเรื่องคู่ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสามีหรือภรรยา โดยผมจะขอเขียนจากมุมมองของผม นั่นคือเขียนถึง "ภรรยา" ว่าการเลือกคู่ชีวิตนั่นมีผลต่อความสุขและความสำเร็จในชีวิตคุณเป็นอย่างยิ่ง และสิ่งนี้ไม่ได้เกิดจากความคิดของผมเองคนเดียว แต่ทว่าเป็นสิ่งที่ผู้ชายบนโลกใบนี้ต่างก็ได้เรียนรู้กันมา ถ้าคุณลองศึกษาประวัติชีวิตของผู้ที่ประสบความสำเร็จหลายๆคนจะพบเลยว่า ส่วนสำคัญของความสำเร็จของเขา มาจากตัวภรรยาและครอบครัวที่ค่อยสนับสนุน ให้กำลังใจ และวันนี้ผมจะขอหยิบยกเรื่องราวของชายผู้พลิกโฉม การเดินทางของโลกใบนี้นั่นคือ "เฮนรี ฟอร์ด"

เฮนรี ฟอร์ด
เฮนรี ฟอร์ดเป็นบุคคลสำคัญในวงการรถยนต์ จนไปถึงแวดวงอุตสาหกรรมกันเลย สำคัญมากจนกระทั่งนักทฤษฏีสังคมถึงกับเรียกยุคสมัยช่วงหนึ่งเลยว่า "สังคมแบบฟอร์ด" เพราะว่าเขาได้ก่อตั้งบริษัทฟอร์ดมอเตอร์ และเป็นบริษัทแรกที่เริ่มระบบสายพานการผลิต และสิ่งนี้ก็เริ่มทำให้สังคมเกิดสิ่งที่เรียกว่า "ชนชั้นกลาง" หลายคน กล่าวเลยว่า ชนชั้นกลางมีขึ้นได้ ก็เพราะว่าเฮนรี่ ฟอร์ด!!! แม้เฮนรี ฟอร์ดจะเสียชีวิตลงในปี พ.ศ. 2490 แต่ทุกวันนี้บริษัทที่ชื่อ ฟอร์ด ก็ยังอยู่และรถยี่ห้อนี้ก็ยังมีขาย

ในตอนที่เฮนรี ฟอร์ด ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงนั้น เป็นมหาเศรษฐีไม่รู้กี่แสนล้าน (เฮนรี ฟอร์ด ก็มีทำเครื่องบินช่วงสงครามด้วย ฮ่าๆๆๆ) แต่พอมีคนถามเฮนรี ฟอร์ดว่า "ถ้าเกิดใหม่อีกครั้ง หรือชาติหน้ามันมีจริง คุณอยากจะรวยและเป็นแบบนี้อีกไหม?" ฟอร์ดส่ายหน้าบอกว่า "ผมไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ขอเพียงแต่ให้ผมได้เจอภรรยาผมอีกครั้งก็พอใจแล้ว" นี้เป็นหนึ่งในการตอบคำถามที่ได้รับการบันทึกในประวัติศาสตร์กันเลยทีเดียว เพราะผมเองก็อ่านเจอเหตุการณ์นี้ในหนังสือหลายเล่มแล้ว ทีนี้เรามาดูกันว่าอะไรทำให้ ชายผู้นี้ให้ความสำคัญกับหญิงคนหนึ่งเหนือสิ่งอื่นใด

ช่วงเริ่มต้นชีวิต
เฮนรี  ฟอร์ดได้แต่งงานกับคลาร่า ไบรอัน ในตอนที่เขาอายุ 24 ปี และเขาเรียกภรรยาของตัวเองว่า "ผู้เชื่อมั่น" เพราะในยุคนั้น ทั้งอเมริกาและยุโรป กำลังคิดค้นและหาวิธีในการนำเครื่องจักรไอน้ำมาประยุกต์ใช้กับรถยนต์ โดยสารขนาดเล็ก แต่เฮนรี่ ฟอร์ด ไม่สนใจเรื่องนี้เลย แล้วไปประดิษฐ์และประยุกต์เครื่องยนต์สันบาดภายในแทนการใช้ม้าลาก ในตอนที่ทำการทดลองและทดสอบวิ่งแถวบ้านนั้น มีแต่คนหัวเราะเยาะเขา เพราะรถก็ต้องใช้ถนน แต่ม้าไม่จำเป็น แถมรถวิ่งไปได้นิดหน่อยก็ควันขึ้นแล้ว ทำจนหลายคน เริ่มมองว่า เฮนรี ฟอร์ดนั้น สติไม่ดี!!! แต่ภรรยาคนนี้ก็ยัง นั่งเคียงข้างคอยป้อนข้าว ป้อนน้ำ แม้ชีวิตจะไม่ได้หรูหรา ต้องเจอทั้งคราบน้ำมัน ฝุ่นควัน และเพื่อเป็นการหลบเลี่ยงสายตาผู้คน ทั้งคู่ต้องแอบเอารถไปทดสอบตอนเช้ามืด วิ่งแล้วพัง ทำแล้วเจ๊ง เฮนรี ฟอร์ดก็รื้อมาวิเคราะห์ มาซ่อม ทำไม่รู้กี่ร้อยครั้ง และในที่สุด เขาทั้งคู่ก็ทำสำเร็จ

และนี้เป็นหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมถึงจะเกิดอีกชาติ เขาขอแค่เจอภรรยาก็พอใจแล้ว ♥ ♪ เพราะชีวิตครอบครัวไม่มีสิ่งไหนมาทดแทนได้ ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จของด้านหน้าที่การงานแค่ไหน ก็ไม่อาจจะมาเต็มเติมสิ่งนี้ได้ และสุดท้ายนี้ ผมขออวยพรให้คุณได้พบเจอกับ คู่ชีวิตที่ดีและขอให้ดูแลกันตลอดไปนะครับ และขอบคุณ Wikipedia สำหรับรูปภาพครับ


Continue Reading...

Monday, October 27, 2014

ถ้าหมดไฟแล้วอยากเปลี่ยนชีวิต จงทำสิ่งที่ทำให้คุณมีชีวิตชีวาครับ!!!



กว่าจะโตจนมาถึงวันนี้ได้ ผมว่าทุกๆคนคงเคยเจ็บไข้ได้ป่วยกันมาบ้างไม่มากก็น้อย ทีนี้คุณเคยไหมครับ เวลาป่วยๆนอนพัก นอนอู้งาน หรือนอนโดดเรียนอยู่ที่บ้าน แต่ไข้กลับไม่ลด ยังรู้สึกป่วยๆอยู่เลย นอนเยอะก็แล้ว ทานยาก็แล้ว ไข้ก็ยังอยู่ พอถึงวันรุ่งขึ้นก็จำเป็นต้องกลับไปทำงานหรือกลับไปเรียน ไม่ว่าจะหายหรือยังไม่หายก็ตาม ฮ่าๆๆๆ แต่เราพอกลับไปแล้ว ทีนี้กลายเป็นว่า เมื่อได้เริ่มทำงาน ไข้กลับหายไปเลย หายปวดตามเนื้อปวดตามตัวเลย ไม่ต้องทานยาพาราอีก!?!?

เรื่องนี้ผมเคยคุยกับเพื่อนหลายๆคนแล้วเจอว่า ส่วนมากก็เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ นอนอยู่บ้านไม่หาย แต่พอมาสู้งาน มาทำงานหายเลย ฮ่าๆๆๆๆ ซึ่งแนวคิดนี้ล่ะ พอผมอ่านเจอประโยค

"ทำสิ่งที่ให้คุณมีชีวิตชีวา หยุดทำสิ่งทีทำให้คุณหมดพลังชีวิต"
ข้อคิดนี้เปลี่ยนชีวิตผม (บัณฑิต อึ้งรังษี)

ซึ่งผมได้อ่านจาก "หนังสือคำคมกำลังใจ ของคุณบัณฑิต อึ้งรังษี" ผมว่ามันเป็นแบบที่ประโยคนี้ได้กล่าวไว้จริงๆ หลายครั้งมากๆในชีวิตเมื่อผมได้เจอกับอุปสรรคหรือปัญหาใหญ่ๆในชีวิต การที่นอนพัก หรือที่บางคนเรียกว่า นอนขี้เกียจนั้น มันกลับให้ผมรู้สึกหมดแรง ทีนี้เรามาลองนึกถึงตอนที่เรายังเด็กๆกันดูบ้างครับ ตอนที่เราหมดแรงไม่อยากทำอะไร และหลายครั้งคุณแม่คุณพ่อจะไล่ให้ไปทำงานบ้าน ไปถูบ้าน ให้ไปวิ่งเล่นบ้าง ซึ่งมันช่วยได้จริงๆ ทำให้เราไม่คิดมาก และบ่อยครั้งที่ทำให้เราคิดอะไรดีๆออก แต่พอเราโตขึ้นและหลายคนย้ายออกมาอยู่คนเดียว ไม่ได้อยู่กับคุณแม่คุณพ่อแล้ว พอมีปัญหาอะไรเข้ามา กลับนอนเฉยๆ แบบนี้มันจะทำให้เรายิ่งหมดแรงในการดำเนินชีวิตเน้อ

ดังนั้นวิธีง่ายๆที่จะช่วยให้คุณเป็นคนมีไฟ มีแรงใจและมีความหวัง โดยที่ไม่ต้องพึ่งกระทิงแดงหรือเครื่องดื่มชูกำลังนั่นก็คือ ออกไปทำอะไรก็ได้ครับ ที่ทำให้คุณมีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นออกไปวิ่ง ออกไปว่ายน้ำ ขี่จักรยาน หรือจะไปเล่น T25 ก็ได้ บางทีผมก็ออกไปล้างรถ และหลายๆคนก็พาครอบครัวไปเดินเล่น หรือไปหาคุณพ่อคุณแม่ เอาเป็นว่าไปทำอะไรก็ได้ที่มันทำให้เรามีชีวิตชีวาครับ และที่สำคัญ หยุด หยุดเลยนะ หยุดทำอะไรที่มันทำให้คุณหดหุ่ ที่ผมเห็นชอบทำกันบ่อยๆเลย คือ เพลงเศร้าแล้วไปก็นั่งร้องไห้ แม่งเอย!!! ผมเข้าใจความรู้สึก แต่ถ้าคุณอยากเปลี่ยนแปลงชีวิต ออกไปทำสิ่งที่ทำให้คุณมีชีวิตชีวาครับ สู้ๆครับ

Photo: "Mike" Michael L. Baird / Creative Commons
Continue Reading...

Wednesday, October 22, 2014

ความทุกข์มาโปรด ความสุขโปรยปราย หนังสือที่ทำให้ใจสบายจาก ท่าน ว.วชิรเมธี



ตอนที่ผมซื้อหนังสือเล่มนี้นั้น คือ ตอนปี ๒๕๕๓ เพราะเหตุผลแค่ว่า "ทุกข์" และอยากแสวงหาหนทางในการลดระดับความรุนแรงของความทุกข์ให้ลงก็เพียงพอแล้ว ซึ่งหนังสือเล่มนี้กลับดีมากกว่านั้นอีกเยอะครับ ดังนั้นถ้าคุณกำลังทุกข์ แล้วต้องการหาอะไรสักอย่างมาช่วยบรรเทาทุกข์ล่ะก็ หนังสือเล่มนี้เลยครับ ช่วยท่านได้แน่นอน

หนังสือ ความทุกข์มาโปรด ความสุขโปรยปราย - มี 3 ภาคหลัก กับอีก 1 ภาคพิเศษ (เหมือนหนังสมัยนี้ครับ ที่มีหลายๆภาค ฮ่าๆ แต่ในที่นี้จะเล่าเฉพาะภาคแรก)

ภาค ๑ ความทุกข์มาโปรด
คนเรานั้นเกิดมาแล้วมีความทุกข์ด้วยกันทุกคน ไม่ว่าจะ ชั่ว-ดี มี-จน สูง-ต่ำ ดำ-ขาว ล้วนแต่มีความทุกข์ด้วยกันทั้งด้วยทั้งสิ้น แต่สิ่งที่สำคัญคือ ความทุกข์เป็นสัจจะอันประเสริฐ

ลองนั่งคิดครับ คุณเคยทุกข์มากๆไหม ทุกข์จนน้ำตาไหล ทุกข์นั้นทำให้เราไม่ประมาท ทำให้เราเรียนรู้ จดจำ เพราะไม่อยากกลับไปทุกข์ และในหนังสือนั้น ท่าน ว. วชิรเมธี ยังได้เล่าประวัติของท่าน ติช นัท ฮันห์ ให้ฟังว่า ท่านติช นัท ฮันห์เคยทุกข์ระดับโลกกันเลยทีเดียว แต่ท่านก็เรียนรู้จากทุกข์และยังช่วยเหลือผู้อื่นต่ออีกด้วย และก่อนที่จะจบในภาคแรกของหนังสือ ท่าน ว. ก็ได้เขียนบทเกี่ยวกับ "พลิกทุกข์ให้เป็นสุข" ซึ่งผมประทับใจในบทนี้มากครับ

พลิกทุกข์ให้เป็นสุข
ถ้าคุณเคยทุกข์มากๆ ทุกข์ยิ่งกว่าลึกจนสุดใจ ผมอยากให้รีบอ่านสิ่งที่ท่าน ว.ได้เขียนได้เลยว่า

"การฆ่าตัวตายหนีความทุกข์นั้นไม่มีความจำเป็นเลย ความตายนี้เป็นของได้เปล่า 
อย่างไรเราก็ต้องตายอยู่แล้ว อยู่ไปเถอะเดี๋ยวก็ตายเอง"

พออ่านจบเท่านั้นล่ะ ทั้งขำและหายทุกข์ไปในเวลาเดียวกัน ดังนั้นคุณต้องลุกขึ้นสู้กับความทุกข์ครับ สู้มันเข้าไปครับ ไม่ทุกข์ติดมุม ก็เราติดมุม ไม่เราแพ้ ทุกข์มันก็แพ้ครับ และบทนี้ยังบอกต่อว่า ร้อยละ ๙๙.๙๙ นั้น คนที่สู้จะชนะครับ ดังนั้นเรามาลุกขึ้นสู้กับความทุกข์พร้อมๆกัน

ขอบคุณครับ
Continue Reading...

Monday, October 20, 2014

บางครั้งการไปให้ถึงเป้าหมาย แค่ความพยายามมันยังไม่พอ!?!?



ผมเชื่อว่าในหัวใจของทุกๆคน ต้องการประสบความสำเร็จและไปให้ถึงเป้าหมาย ทำให้คุณต้องใช้ความพยายามในการเดินทางอย่างแน่นอนครับ แต่ว่าผมเพิ่งได้เรียนรู้บทเรียนที่สำคัญว่า "บางครั้งการไปให้ถึงเป้าหมาย มันใช้มากกว่าคำว่า ความพยายามครับ" เดี๋ยวก่อนนะ ความพยายามน่ะสำคัญมากๆ และยังคงความสำคัญอยู่ครับ แต่สิ่งที่ผมต้องการจะบอก คือ การเดินทางไปสู่เป้าหมายมันมีบ่อยครั้งมากๆ คุณจะต้องเจอกับอุปสรรค ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำคือ "คิดว่ามันมีหนทางเสมอ แล้วลองหาทางอื่นในการเดินทางสู่ความฝัน" สิ่งที่ผมเขียนมา ไม่ได้คิดขึ้นได้เองครับ แต่มันเกิดจากประสบการณ์ที่เดินไปชนกำแพง และยัง(เผือก)เอาหัวชนต่อไป จนได้มาหยุดคิดและตั้งสติในการแก้ปัญหา ไปนั่นคุยกับที่ปรึกษา ไปหาหนังสือดีๆมาอ่าน ซึ่งหนึ่งในนั่น คือ หนังสือคิดใหญ่ไม่คิดเล็ก กับหนังสือของคุณวินทร์ เลียววาริณ

แล้วอะไรล่ะที่ต้องใช้คู่กับคำว่า "ความพยายาม"
การเดินทางสู่ความฝันสิ่งที่พวกเราควรใช้ควบคู่ไปกับความพยายาม คือ การเปลี่ยนแปลง หรือการทดลอง (คำว่า การทดลอง ผมนำมาจากหนังสือ คิดใหญ่ไม่คิดเล็กครับ) จริงๆสิ่งนี้ หรือ หลักการนี้สามารถอธิบายได้ด้วยคำว่าของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ว่า

"คนบ้าเท่านั้น ที่คิดสิ่งเดิมๆ และทำสิ่งเดิมๆ แต่หวังให้ผลลัพธ์มันเปลี่ยน"
(Insanity is doing the same thing over and over again)

ในหนังสือหลายๆเล่มที่ผมอ่าน จะมีตัวอย่างที่สำคัญ 2 ตัวอย่าง สำหรับการอธิบายเรื่องความพยายามกับการเปลี่ยนแปลงหรือการทดลอง คนแรกคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก โทมัส เอดิสัน เพราะว่า คุณเอดิสันกว่าจะทดลองหลอดไฟสำเร็จนั่นต้อง ทดลองเป็นหมื่นๆครั้ง กว่าจะสามารถประดิษฐ์หลอดไฟได้สำเร็จ และที่สิ่งสำคัญคือ คุณเอดิสันไม่หยุดหยั่งที่จะลองหาวิธีการใหม่ๆในการทำงาน ดังนั้น ถ้ามีแค่ความพยายามแต่ไม่ลองหาวิธีใหม่ เราก็คงไม่มีหลอดไฟใช้กันอยู่ในทุกวันนี้

ส่วนตัวอย่างที่สองนั้น หนังสือหลายเล่มจะพูดถึง นักเขียน! เพราะนักเขียนกว่าจะมีชื่อเสียงหรือได้รับการตีพิมพ์นั้น จะต้องหัดเขียน หรือเขียนไปให้พิจารณาหลายรอบมากๆ กว่าจะได้รับการตีพิมพ์ แต่กลับมีนักเขียนหลายคน ที่พยายามเขียนแล้วเขียนอีก แต่เขาก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนวิธีการเขียนหรือรูปแบบการดำเนินเรื่อง ทำให้ผลลัพธ์ก็ยังออกเหมือนเดิม

วิธีพัฒนาให้ตัวเองเป็นคนชอบการทดลอง
นั่นคือสิ่งที่ผมได้ไปอ่านมาจากหนังสือ คิดใหญ่ไม่คิดเล็กนะ เลยอยากจะแชร์ไว้ด้วย เพราะว่าไม่อยากบอกแค่ ต้องใช้การทดลองควบคู่กับความพยายาม แต่ไม่ยอมบอกวิธีพัฒนา skill นี้ด้วย

1. บอกตัวเองเสมอว่า ยังมีหนทาง - ถ้าคุณคิดและบอกกับตัวเองเสมอๆ เวลาเจออุปสรรคในการเดินทาง เราจะสามารถผลักดันตัวเองให้มองหาและพยายามทดลองอะไรใหม่ๆ แทนที่จะมานั่งบ่นครับ
2. ถ้าเหนื่อยนักก็พักก่อน - ข้อนี้ผมมักจะลืมทำไปครับ เพราะหลายครั้งที่ติดปัญหาแล้วจะไม่ยอมหยุดพัก แต่นั่งดื้อทำและหาวิธีแก้ต่อไป แต่บ่อยครั้งมากๆที่คิดวิธีแก้ปัญหาออกตอนอาบน้ำ หรือหลังจากไปนอนพัก!!! 

และผมขอจบบทความนี้ด้วยคำพูดของคุณโทมัส เอดิสัน ตำนานนักประดิษฐ์ของโลกนะครับ

"ผมไม่ได้ล้มเหลว ผมแค่ค้นพบเส้นทางที่ยังไม่ใช่หนึ่งหมื่นทางเท่านั้น"
(I have not failed, I've just found 10,000 ways that won't work)


**รูปปั้นของโทมัส เอดิสัน ตอนหนุ่มบริเวณสะพาน  Blue Water ที่ Port Huron รัฐ Michigan จาก wikipedia ครับ**

Continue Reading...

Friday, October 17, 2014

หนังสือเก่าๆที่ยังคงความสนุก สามก๊ก ฉบับวณิพก โดยยาขอบ


นี้คือหนึ่งในหนังสือที่เขียนโดยคนไทยที่เก่ามากที่สุดที่ผมเคยอ่าน "สามก๊ก ฉบับวณิพก ของยาขอบ"  เก่าแค่ไหนนะเหรอครับ ก็แค่เพิ่งมีงานเฉลิมให้กับยาขอบครบ 100 ปีไปเมื่อปี 2550 เอง!!! นั่นหมายความว่า ยาขอบ หรือโชติ แพร่พันธุ์ เกิดในปี พ.ศ. 2450 ครับ เนื่องจาก ประวัติสามก๊กหลายคนรู้จักอยู่แล้ว ดังนั้น เรามาเริ่มรู้จักกับคุณโชติ แพร่พันธุ์ ก่อนครับ

1 ใน 3 นักเขียนไทย ที่ 100 ปี หยดน้ำหมึกไม่มีวันจาง
ถ้าเป็นการ์ตูนเรื่องนินจาคาถาฯ ยาขอบก็ต้องเป็น 1 ใน 3 นินจาในตำนาน!!! ฮ่าๆๆๆ คือ ผลงานของเขา เป็นที่ยอมรับในวงการแล้ว และกาลเวลาได้เป็นเครื่องพิสูจน์อีกชั้น สำหรับคุณค่าของผลงาน สำหรับอีกผลงานเด่นของคุณโชติ แพร่พันธุ์ ก็คือ ผู้ชนะสิบทิศ ที่เด็กก็ยังต้องเรียนกัน

สามก๊ก ฉบับวณิพก โดยยาขอบ
ถ้าใครเคยอ่านสามก๊กมาบ้าง คงจะรู้ดีว่า ตัวละครเยอะมาก ถึงมากที่สุด ต้องจำชื่อ ความสัมพันธ์ เท่านั้นยังไม่พอครับ ยังมีสถานที่ และตำแหน่งเมืองมาเกี่ยวข้อง ทำให้การอ่านสามก๊กให้สนุกนั้นต้องจำตัวละครให้ได้ เพราะว่าในช่วงเวลาใกล้ๆกันจะมีเหตุการณ์ต่างๆ ที่หัวเมืองนั้น หัวเมืองนี้ และละครหลักๆก็มีบทบาทสำคัญๆ ทำให้ต้องเล่าเรื่องสลับกันไป สลับกันมา อ่านแล้วต้องจำเยอะว่าอ่าน "Cloud Atlas" แน่นอนครับ ฮ่าๆๆๆ

แต่สำหรับสามก๊ก ฉบับวณิพก นั้นเราจะได้อ่าน ได้ติดตามตัวละครทีละคน ตั้งแต่เริ่มจนจบ และพออ่านจบครบทุกคน ก็จะประติดประต่อเรื่องราวได้อย่างสนุกสนาน จนไม่น่าเชื่อว่าสามก๊กจะสนุกขนาดนี้ เช่น พอเราอยากจะรู้เหตุการณ์ของตัวละครนี้ต่อเลยว่า หลังจากเมืองนี้ถูกตีแตกแล้วเป็นไงต่อ ไม่ใช่โดนตัดไปเข้าช่วงโฆษณาเล่าละครอีกฝั่งนึง ทำให้อารมณ์ต่อเนื่องกันไปในขณะที่อ่านครับ

เล่มนี้ผมแนะนำเลยครับ สำหรับคนที่อยากจะลองเริ่มอ่าน สามก๊ก และสำหรับ"สามก๊ก ฉบับวณิพก โดยยาขอบจะมี 2 เล่มครับ" และสำหรับการหาซื้อนั้น ผมคิดว่าไม่น่าจะยากมากนะ เพราะว่าเพิ่งมีการพิมพ์หนังสือ อีกรอบฉบับ 100 ปี ยาขอบไปครับ
Continue Reading...

Wednesday, October 15, 2014

หนังสือเล่มเดิม กับวันเวลาที่เปลี่ยนไป

A book is a dream that you hold in your hand.
–Neil Gaiman


ช่วงนี้ผมมีเวลาที่จะกลับมาหยิบหนังสือเล่มเก่า กลับขึ้นมาอ่านกันอีกรอบ ตอนแรกก็คิดก่อนเลยว่า "จะสนุกเหมือนเดิมไหมน่า?" แต่ผลปรากฏว่า อ่านหนังสือสนุกมากกว่าเดิมครับ!?!? ผมก็แปลกใจเหมือนกัน เพราะว่าลองกลับมาหยิบขึ้นมาอ่านอีก สองถึงสามเล่ม ก็ยังรู้สึกสนุกกว่าเดิม อาจจะเป็นเพราะ เราอ่านหนังสือครับ เราไม่ได้ดูหนัง หรือผมอาจจะอ่านมาเยอะจน เริ่มจำรายละเอียดไม่ได้ ทำให้เวลากลับมาอ่านหนังสือดีๆเก่าๆ บางเล่ม รู้สึกว่าประทับใจคนเขียนมากเลย อย่างเช่น หนังสือเล่มล่าสุดที่ผมเพิ่งกลับมาอ่านและเขียนไปคือ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก ทั้งๆที่หนังสือเล่มนี้เก่ามากแล้ว แต่เนื้อหายังคงร่วมสมัยอยู่ หลักการต่างๆยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อยู่ ตัวอย่างหรือปัญหาที่หยิบยกขึ้นมาเล่าให้ฟัง ก็รู้สึกว่า ปัญหาเหล่านี้ก็ยังคงมีอยู่ในช่วงเวลาปัจจุบัน ซึ่งแสดงให้เห็นเลยว่า หนังสือดีๆแม้จะเก่า แต่เนื้อหาไม่ได้เก่าไปตามกาลเวลา แต่เวลากลับจะมาเป็นตัวพิสูจน์คุณค่าและความดีงามของหนังสือ จนต้องกลับมานั่งคิดอีกหลายๆครั้งว่า

"ทำไมเราไม่อ่านหนังสือให้เยอะกว่านี้นะ" 

ปัญหาหลายๆอย่างเขาก็เจอกันมาหมดแล้ว เรียนรู้วิธีที่ปฏิบัติกับปัญหาเหล่านั้น จนเขียนเป็นหนังสือได้เลย วันนี้ผมก็เลยมาเล่า มาเขียนให้ใครก็ตามที่แวะเข้าได้รู้ว่า "พอผมเริ่มมีอายุมากขึ้น แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองรู้น้อยลง จนอยากจะเรียนรู้ และอ่านหนังสือให้มากกว่าเดิม อยากลองทำอะไรใหม่ๆมากเดิม" อ้าว เด็กๆน้องๆ คนไหนยังเล่นเกมส์กันเยอะอยู่ ก็ลองแบ่งเวลาสัก 1 -2 ชั่วโมงมาอ่านหนังสือดีๆกันดูนะครับ ผมอยากเห็นคนไทยอ่านหนังสือดีๆ กันเยอะๆครับ


สรุปสิ่งที่ยังคงคิดหลังจากที่อ่าน หนังสือคิดใหญ่ไม่คิดเล็ก
ในช่วงท้ายบทความ ผมอยากเขียนสรุปในบางสิ่งที่ยังคงคิดถึงหลังอ่านจบอีกรอบนะครับ คือ ในตัวอย่างที่หนังสือคิดใหญ่ไม่คิดเล็ก ได้หยิบยกขึ้นมา มันยังโดนใจและฝั่งใจอยู่ ผมเลยอยากจะใช้เนื้อที่ตรงนี้ในการเล่าสู่กันฟังนะครับ ในหนังสือจะมีบทหนึ่งที่จะพูดถึงการคิดอย่างถูกต้องต่อคนอื่น แล้วได้ใช้เหตุการณ์จริงๆที่ผู้เขียนเจอ คือ

ในระหว่างที่ผู้เขียน(David J.Schwartz) ได้นั่งรถเพื่อนของเขา และได้สังเกตเห็นว่าเพื่อนเขาหยุดรถเพื่อให้รถคันอื่นที่จอดอยู่ริมถนนออก หรือให้รถที่กำลังจะออกจากซอยได้ขับออกมาหลายครั้ง จนกระทั่งผู้เขียนก็ได้จิกกัดเล็กๆน้อยๆกับเพื่อนว่า "โอ้ นี้นายอยู่ชมรมคนใจดีเหรอเนี่ย!!!" เพราะผู้เขียนไม่เคยเห็นคนขับรถคนไหน แสดงความใจดีขนาดนี้มาก่อน แล้วเพื่อนของเขาก็ตอบว่า

"การที่ต้องช่วยคนขับ 3 คนให้ออกมาจากซอยหรือริมถนนนั้น อาจจะทำให้เขาเสียเวลาเพิ่มขึ้นอีก 45 วินาที และพวกเขาเหล่านั้นก็อาจจะไม่ได้ทำดีกับเขาเป็นการตอบแทน แต่สิ่งที่เขาได้รับตอบแทนทันทีเลย คือ การแสดงความเอื้อเพื้อต่อผู้อื่นนั้น ช่วยทำให้ฉันใจเย็นขึ้น"


โอ้ หนังสือเล่มนี้เขียนตั้งแต่ปี 1959 จริงเหรอเนี่ย!?!? ทำไมรู้สึกว่าตัวอย่างมันยังโดนใจขนาดนี้!!! พอมานั่งคิดดู ผมเองก็เคยมองหาวิธีที่จะทำให้ใจเย็นเพิ่มขึ้นเหมือนกัน แต่ก็ลืมไปเลยว่า การทำอะไรง่ายๆอย่างให้รถคนอื่นได้ออกจากซอยบ้าง แทนที่ผมจะตบไฟหน้า แถมต่อท้ายด้วยการกระทบคันเร่งส่ง ฮ่าๆๆๆๆๆ นี้ยังไม่รวมไปถึงการบีบแตรด้วยนะ ฮ่าๆๆๆๆๆ จริงๆ เมื่อวานก็ไปลองทำดูนะ ก็รู้สึกว่าใจเย็นขึ้นนิดนึง แต่ก็กลัวๆว่ารถคันหลังจะกดแตรด่านะจิ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

ในบทเรื่องการคิดอย่างถูกต้องต่อคนอื่นนั้น ยังมีอีกตัวอย่างที่กระแทกโดนใจ นั่นคือ ผู้เขียนได้หยิบยกคำสัมภาษณ์ของคุณเบนจามิน แฟร์เลส คนที่มีชื่อเสียงมากๆ ในอุตสาหกรรมเหล็กกล้าช่วงยุค 1950 อย่าลืมนะครับ ว่าหนังสือเล่มนี้เขียนตั้งแต่ปี 1959

"ผมก็เคยรู้สึกผิดหวังบ้าง หลายครั้งที่ผมไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งแต่คนอื่นกลับได้ไป ที่สำคัญคือผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเหยื่อของ การเมืองในที่ทำงาน หรือความลำเอียง"เมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่เขาคิด สิ่งที่คุณต้องทำมีแค่ 2 อย่างเท่านั้น

  1. ถามตัวเองว่าจะทำอะไรได้บ้างเพื่อที่จะได้รับเลือกในการเลื่อนตำแหน่งครั้งถัดไป
  2. อย่าไปเสียเวลาและพลังงานกับความผิดหวัง อย่าด่าตัวเอง วางแผนที่จะเอาชนะครั้งต่อไป
"วิธีการที่คุณคิดเมื่อพ่ายแพ้ จะเป็นตัวกำหนดว่าอีกนานเท่าไรคุณถึงจะชนะ"



ขอบคุณที่อ่านจนจบ สำหรับสรุปทุกบทของหนังสือ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก ดูได้ที่นี้คับ


**รูปภาพจาก Wikipedia ครับ**
Continue Reading...

Monday, October 13, 2014

4 ปีผ่านไป กับการกลับมาอ่านอีกครั้งกับ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก (The Magic of Thinking BIG)

"ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่จะเป็นคนเล็ก"
ดิสราเอลลี



"เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก" นั่นคือความรู้สึกของผมจริงๆ เมื่อได้กลับมาหยิบ หนังสือคิดใหญ่ไม่คิดเล็ก มาอ่านกันอีกครั้ง แล้วก็เจอว่าตัวเองเคยเขียนเล่าความรู้สึกที่เคยได้อ่านไว้เมื่อตอนตุลาคมปี 2010...เดี๋ยวนะ นี้มัน ตุลาคม 2014 โอ้แม้เจ้า 4 ปีแล้วนี้!!! แล้วยังไปเจออีกว่า ผมไปโม้ไว้ว่าจะมาเขียนบทต่อไป หน้าแตกแบบนี้หมอไม่รับเย็บ แถมกระทืบซ้ำ!!!  ผมต้องขออภัยเป็นอย่างสูงที่เขียนไว้แต่ไม่ได้ทำตาม อ้าว เอาล่ะ วันนี้ผมจะมาเริ่มต้นกันใหม่ อีกครั้ง ♪ ♫ อีกสักครั้ง ♫ ♪ ฮ่าๆๆๆๆ


ทันที่หยิบหนังสือขึ้นมา สิ่งแรกที่รู้สึกเลยคือ "เก่า!" ฮ่าๆๆๆ จะบอกทำไม เก่าในที่นี้รวมไปถึงชนิดกระดาษที่ใช้พิมพ์สำหรับเล่มที่ผมมีด้วยครับ คือ ถ้าสังเกตุกันดูหนังสือสมัยนี้นะ จะใช้กระดาษถนอนสายตามาทำหนังสือกันเกือบหมดแล้ว เนื้อกระดาษจะไม่ใช่สีขาวๆ แต่หนังสือที่ผมมีเนี่ยสีขาวมากๆ ทำให้รู้สึกเลยว่า เวลาอ่านจะแสบตามากกว่า...ถึงตรงนี้ หลายคนงง นี้มันอะไรรรร ไม่เห็นจะมีเนื้อหาสักกะติ๊ดดดด เดี๋ยวจะรู้ว่าทำไมครับ 


คำนำ
แค่คำนำในหนังสือเล่มนี้ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก ซึ่งพิมพ์มาแล้วตั้งแต่ปี 1959 (เก่าและดี ระดับตำนานอีกเล่ม) คำนำประมาณ 4 หน้า แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกเลือดลมสูบฉีดขึ้นมาได้!!!! เพราะว่าสิ่งที่ David J.Schwartz ได้กล่าวอย่างชัดเจนเลยคือ ขั้นตอนง่ายๆที่หนังสือเขียนขึ้น ไม่ใช่ทฤษฏีที่ยังไม่รับการพิสูจน์ มันไม่ใช่การเดาสุ่ม หรือผู้เขียนมโนขึ้นมา แต่หากเป็นแนวทางของสถานการณ์ในชีวิตจริงที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว และเป็นขั้นตอนคนทั่วไปที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ผล

"คิดใหญ่ แล้วคุณจะได้ชีวิตที่ใหญ่ขึ้น คิดใหญ่แล้วคุณจะมีชีวิตที่ใหญ่ในด้านของความสุข จงคิดใหญ่และคุณจะมีชีวิตที่ใหญ่ในด้านหน้าที่การงาน และนี้คือ คำสัญญาที่ผู้เขียนได้เขียนไว้ในคำนำ"

แค่คำนำ ผมก็ลืมไปหมด กับความเก่าของหนังสือ และกระดาษสีขาวๆที่ไม่สบายเท่าหนังสือใหม่ๆ เพราะเนื้อหาและคุณภาพไม่ได้เก่าไปตามกาลเวลาเลย ถ้าเพื่อนๆคนไหนมีหนังสือเล่มนี้อยู่ใกล้ๆ อย่าลืมหยิบขึ้นมาอ่านกันนะครับ




สรุปเนื้อหาจาก คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก
หนังสือเล่มนี้มีทั้งหมด 14 บท ผมจะพยายามบทสรุปใจความสำคัญของแต่ละบทให้ดีที่สุดนะครับ
บทที่ 1 ถ้าคุณคิดว่าคุณทำได้ คุณก็จะทำได้ - ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่จะเกินความสามารถของมนุษย์ มันไม่เกี่ยวกับระดับการศึกษา ไม่เกี่ยวกับอายุ มันเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อ คุณต้องเชื่อว่าคุณทำได้ คิดว่าต้องสำเร็จ อย่าคิดว่าจะล้มเหลว และย้ำเตือนตัวเองเสมอว่าคุณเก่งกว่าที่คุณคิด และสุดท้าย คิดใหญ่

บทที่ 2 รักษาโรคชอบแก้ตัวของคุณ - เพราะว่ามันคือ โรคแห่งความล้มเหลว ถ้าใครมีรับรองไม่เจริญ! พออ่านบทนี้จบ รู้สึกเลยว่า ทำไมบางทีเราชอบพกติดตัวไปจังเลยเนี่ย "ข้ออ้าง ข้ออ้าง แล้วก็ข้ออ้าง" ในบทนี้จะลงรายละเอียดของโรคยอดฮิตของผู้คน ในอ้างการว่าทำไมถึงทำไม่ได้ และวิธีเอาชนะมัน!

บทที่ 3 - สร้างความเชื่อมั่นในตนเอง และทำลายความหวาดกลัว - ขั้นแรกคุณต้องยอมรับมันก่อนว่าความกลัวมีตัวตนจริงก่อนที่คุณจะเผชิญกับความกลัวและเอาชนะมัน และคุณควรรู้ว่า ไม่มีใครที่เกิดมาพร้อมกับความมั่นใจ ข่าวดีคือ คุณเองก็สามารถฝึกความมั่นใจได้ครับ

บทที่ 4 วิธีการคิดใหญ่ - ข้อนี้อธิบายง่ายสุด คือ คุณต้องมองไปสิ่งที่เป็นไปได้ในอนาคตไม่ใช่สิ่งที่มันเป็นอยู่ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณจะขายที่ดินแห่งหนึ่ง ถ้าคุณไปบอกว่า พื้นที่ตรงมีเนื้อที่เท่าไร ตอนนี้ปลูกอะไรได้ผลเท่าไร แบบนี้คงขายยากครับ แต่ถ้าผมมองเห็นความเป็นไปได้และมีแผนการไปเสนอแบบนี้ซิ คนถึงพร้อมที่เชื่อไปกับผม

บทที่ 5 วิธีการคิดและฝันอย่างสร้างสรรค์ - ขั้นแรกที่สุด เราต้องเชื่อก่อนว่ามันเป็นไป เชื่อว่าเราทำได้ และจิตใจของคุณจะช่วยหาหนทางให้เองครับ ต่อจากนั้น เราก็ต้องตั้งถามหรือ คิดในสิ่งที่สร้างสรรค์ เช่น ถามตัวเองว่า "ทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร หรือจะทำให้ได้มากขึ้นได้อย่างไร?" เดี่ยวเราก็จะหาหนทางได้เอง ไม่ว่าจะเป็น ตัดงานที่ไม่สำคัญทิ้ง หรือปรังปรุงขั้นตอนบางอย่างในการทำงาน

บทที่ 6 คุณเป็นไปตามที่คิดว่าคุณเป็น - ใจความสำคัญของบทนี้ คือ สิ่งที่คุณคิด จะกำหนดสิ่งที่คุณทำ และสิ่งที่คุณทำจะส่งผลให้ผู้อื่นปฏิบัติกับคุณ ดังนั้น คุณต้องเคารพตัวเอง เชื่อว่าตัวคุณเองสำคัญ และกำลังทำสิ่งสำคัญ และคุณต้องคิดแบบนี้ทุกๆวัน

บทที่ 7 จัดการกับสภาพแวดล้อมของคุณ - เพราะจิตใจคุณก็จะเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมที่คุณป้อนให้กับจิตใจ ดังนั้นคุณต้องใส่ใจกับสิ่งที่ป้อนเข้าไป ไม่ว่าจะเป็น อาหารหรือเพื่อนที่คุณคบด้วย เพราะว่า เพื่อนคุณนี้ล่ะ อาจจะฉุดรั้งคุณก็ได้ แต่ถ้าคุณคบค้าสมาคมกับคนคิดใหญ่ล่ะก็ คุณจะไปได้ไกลและเร็วกกว่าเยอะ เพราะ คนคิดใหญ่ไม่หัวเราะความคิดใหญ่

ครึ่งนึงแล้ว เย้ๆ ฮ่าๆๆๆ

บทที่ 8 ทำให้ทัศนคติของคุณเป็นพวกเดียวกับคุณ - นั่นคือทำให้ตัวคุณเองมีทัศนคติที่จะนำคุณไปสู่ความสำเร็จ โดยมีหลักการที่สรุปได้เป็นข้อๆ ดังนี้ ปลูกทัศนคติที่ว่า "ฉันกระตืนรือร้น", "คุณเป็นคนสำคัญ" และ "บริการอยู่เหนือสิ่งอื่นใด"

บทที่ 9 คิดให้ถูกต้องต่อคนอื่น - ยุคสมัยนี้เราไม่ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งโดยการ "ถูกลาก" แต่เป็นการ "ถูกยก" ขึ้นสู่ตำแหน่ง แสดงว่า จะต้องมีคนมาช่วยคุณ นั่นคือ การมีความคิดที่ถูกต้องต่อคนอื่นจะทำให้คนชอบและสนับสนุนคุณ และในบทนี้จะลงรายอะเอียดว่าทำไงจะได้มา

บทที่ 10 สร้างนิสัยในการลงมือทำ - เป็นที่แน่ชัดและรู้กันอยู่แล้วว่า การลงมือกระทำเป็นสิ่งที่สำคัญในการที่จะประสบความสำเร็จ เพราะลำพังแค่ความคิดมันไม่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานในตำแหน่งสำคัญๆ หรือการทำธุรกิจส่วนตัว แม้กระทั่งการแต่งงาน สร้างครอบครัว ถ้าเรามั่วแต่กลัวไม่ลงทำอะไรสักที มันเป็นไปไม่ได้ที่จะประสบความสำเร็จ ลองทำก่อนแล้วคอยดู!!!

บทที่ 11 วิธีเปลี่ยนความพ่ายแพ้เป็นชัยชนะ - บางครั้งทั้งหมดที่ต้องการสำหรับความสำเร็จคือ คนที่ยืนกรานและไม่เคยคิดจะยอมแพ้ และคุณอย่าลืมว่า "ความเจ็บปวดจะมีค่าก็ต่อเมื่อเราเรียนรู้จากมัน" ไม่ว่าอะไรจะเกิดบอกตัวเองไว้ครับว่า "มีหนทาง"

บทที่ 12 ใช้เป้าหมายช่วยให้คุณโต - ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในโลกนี้ ไม่ได้เกิดมาจากความบังเอิญ แต่มันเป็นเพราะใครบางคนได้คิดและได้จินตนาการเอาไว้แล้ว คุณเองก็ต้องมีเป้าหมายในชีวิตของคุณเอง ไม่ใช่ว่า คุณจะเปลี่ยนงาน แต่ตัวคุณเองก็ยังบอกไม่ได้ว่า เปลี่ยนเพื่ออะไร แค่เงินเดือนที่เพิ่มขึ้นเหรอครับ จริงๆแล้วคุณควรมีเป้าหมายด้วยว่า ในอีก 10 ปีคุณต้องการเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้กำหนดทิศทางในการดำเนินชีวิตถูกต้อง ต่อจากนั้น เราก็ต้องกำหนดเป้าหมายระยะสั้นด้วยนะ เพื่อที่จะได้เห็นความสำเร็จระหว่างที่เราเดินทาง

บทที่ 13 วิธีที่จะคิดเหมือนกับเป็นผู้นำ - ข้อนี้จะคล้ายๆกับข้อที่ 9 คือ ตำแหน่งผู้นำนั่น คุณจะถูกคนรอบข้างยกคุณขึ้นไป ในบทที่นี้จะลงรายละเอียดเพิ่มเติมครับ

บทที่ 14 ใช้ความมหัศจรรย์ของการคิดใหญ่ ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่สุดของชีวิต - บทสุดท้ายจะมาย้ำเตือนให้คุณ เพราะว่าในการเดินทางของคนคิดใหญ่จะต้องเจออุปสรรคแน่นอน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณต้องคนคิดใหญ่ และขอจบการเล่าเรื่องจาก หนังสือคิดใหญ่ไม่คิดเล็ก ด้วยคำพูดของลิเลียส ไซรัส
"คนฉลาดจะเป็นเจ้านายของจิตใจเขา คนโง่จะเป็นทาส"


หลังจากอ่านจบไปสักพัก ผมก็เขียนสิ่งที่ยังคงคิดถึงเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้นะครับ ดูได้ที่นี้เลย

ขอบคุณทุกท่านมากๆครับ ที่อ่านจนมาถึงตรงนี้ :)
Continue Reading...

Friday, October 10, 2014

10 Steps From the present to the dream!



If you think 10 steps is too much for you, I have an easy way “Go to sleep and dream about it!” If you dream of anything don't forget to buy Lottery!
The 10 steps that I will told you I have read from the book that written by Boy Wisoot. He also discuss about this on the book opening “Part time job can produce more money Part2


  1. Ask yourself - you have to answer yourself why you want to be the point that you have dream about. Because every steps that you take will have obstacles! Then you need to know why first. Why you want to do this? Why you want to be like this?
  2. Greedy - Please choose! Do what you love? Have a lot money? Do what you love and still earn a lot money? Other criterias as you request! Note them all
  3. Set an inspirational target - If you do not feel excited about your goal. I would say it probably won’t fun to reach that target, isn’t it?
  4. Write it down! - There would be no such thing to make your dreams become more tangible faster than writing it.
  5. Begin with the end in mind - Stephen R Covey also mention about this, that you need to think or imagine about it. 
  6. Go for it! - Event it seem no way but we need to keep on going!! The door will open if you brave enough to keep walking!
  7. Accumulate the failure - This step make me feel calm up a lot because Boy said the accumulated failures like you collect the green tea led. Then you have the experience to lead to success.
  8. Write and believe in success - When success is achieved, take note then we will put more effort to achieve the next goal and take note. It like an success cycle!
  9. Happy first… then Success - Do not put the happiness at the destination. We should be happy while we walk to our dream too!
  10. Silence is your best friend - Finding time to yourself.  In addition to mental health and wisdom and very few people will be use this way.
***Image from wiki***
Continue Reading...

Followers

Tags